วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดยอดสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2012 จากการจัดอันดับของนิตยสาร “ไทม์”


นิตยสาร "ไทม์" (TIME) ได้จัดอันดับสิ่งประดิษฐ์สุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2012 โดยเรียงลำดับตามมูลค่าของสิ่งประดิษฐ์ จะมีอะไรบ้างมาดูกัน

1.เมฆในสถ
านที่ปิด (Indoor Clouds)
ไอเดียประเมินมูลค่าไม่ได้



 
เมฆสีขาวที่เห็นอยู่กลางห้องไม่ใช่ภาพถ่ายที่ผ่านการตกแต่งด้วยโปรแกรมโฟโตชอป หากแต่เป็นจินตนาการอันสร้างสรรค์ของศิลปินชาวดัตช์ “เบอร์นาร์ต สไมลด์” เขาใช้เวลาในการเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับหารก่อตัวของก้อนเมฆ ไม่ว่าจะเป็นอุณภูมิ ระดับความชื้น แสงสว่าง เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างลงตัวกลุ่มก้อนเมฆก็ปรากฏขึ้น แม้มันจะอยู่ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็นับได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ผสมแนวคิดทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก

2. ตำราสร้างอุปกรณ์และเครื่องจักรสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต (The Civilization Starter Kit)
ไอเดีย ใช้ฟรี
 



นายมาร์ซิน ยาคูบาวสกี เกษตรกรและนักเทคโนโลยี ได้เขียนตำราค้นคว้าวิธีการสร้างเครื่องจักรสำคัญที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์กว่า 50 ชนิด โดยทำในรูปแบบตำราศึกษาฟรีออนไลน์ เน้นการผลิตเครื่องจักรทั้งหลายแหล่ด้วย "ต้นทุนต่ำที่สุด" เพื่อให้ใคร ๆ ก็มีไว้ในครอบครองได้ เช่น ตำราการสร้างรถแทรกเตอร์ด้วยตัวเองภายใน 6 วัน เป็นต้น

คลิก ดาวน์โหลดฟรี!!! ตำราสร้างอุปกรณ์และเครื่องจักรสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต

3.ไขควงปรับทิศทางการหมุนตามการเคลื่อนไหว (The Motion-Activated Screwdriver)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท
 

 

 
ไขควง รุ่น "4v MAX Gyro" ของแบล็กแอนด์เดกเกอร์ เป็นไขควงตัวแรกของโลกที่ปรับทิศทางการหมุนตามทิศทางการเคลื่อนไหวของข้อมือ เช่น เมื่อเอียงไขควงราวๆ 1 นิ้วไปทางขวา ตัวหัวไขควงก็จะหมุนไปตามเข็มนาฬิกา แต่ถ้าเอียงมาฝั่งซ้ายก็จะหมุนทวนเข็มนาฬิกาโดยอัตโนมัติ

4.สารเคลือบขวดซอสมะเขือเทศ (LiquiGlide)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท
 
 

เชื่อว่ามีคนจำนวนมากรู้สึกหงุดหงิด เวลาที่เทซอสมะเขือเทศแล้วมันไม่ยอมไหลออกมาจากขวด สุดท้ายต้องตัดสินใจทิ้งซอสมะเขือเทศที่นอนอยู่บนก้นขวด แต่ปัญหาทั้งหมดนี้จะหมดไป เมื่อทีมนักศึกษาวิศวกรจากเอ็มไอที นำโดยนายเดว สมิท ได้คิดนสารเคลือบขวดที่ทำให้ซอสมะเขือเทศไหลจากขวดได้อย่างรวดเร็ว และไม่นอนก้นแม้แต่หยดเดียว นวัตกรรมนี้มีชื่อว่า “LiquiGlide" จะช่วยลดปริมาณซอส มายองเนส ที่ถูกทิ้งเนื่องจากเทไม่ออกจากขวดได้ถึง 1 ล้านตันต่อปี

สมิท กล่าวว่า สารเคลือบพื้นผิวนี้มีลักษณะเป็นของเหลวที่มีความแข็งเหมือนของเข็งทั่วไป แต่มันกลับลื่นไหลได้เหมือนของเหลว สามารถนำไปใช้เคลือบพื้นผิวภาชนะต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น แก้ว พลาสติก วิธีใช้แค่เพียงพ่นสารเคลือบผิวนี้ลงไปบนพื้นผิวด้าน มันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลอย่างรวดเร็วและง่ายดาย

5.ชุดตรวจเอดส์ด้วยตัวเอง รู้ผลภายใน 20 นาที (OraQuick)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท
 



ชุดเครื่องตรวจเชื้อ “เอชไอวี” หรือ “เอดส์” OraQuick ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ หรือ “เอฟดีเอ” แล้วว่า มีคุณสมบัติในการตรวจที่มีประสิทธิภาพ และผู้ใช้สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเองเพียงลอกเยื้อบุในช่องปากแทนการใช้เลือด ทำให้ปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น และทราบผลได้ภายใน 20 นาที ความแม่นยำอยู่ที่ 99% จาก

6.เครื่องกรองน้ำพลังแสงอาทิตย์ (Eliodomestico Solar Water Distiller)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท
 



“เกเบรียล ดิอาแมนติ “นักออกแบบอิสระได้คิดค้นเครื่องกรอง้ำพลังแสงอาทิตย์นี้ขึ้นโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์เป็นตัวกลั่น-กรอง น้ำที่ไม่ค่อยสะอาด โดยเฉพาะในประเทศยากจน หรือประเทศโลกที่สาม ซึ่งหาแหล่งน้ำสะอาดได้ยาก

7.ถุงมือพูดได้ (Enable Talk Gloves)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท

 
 

นักศึกษาชาวยูเครน 4 คนได้คิดค้นถุงมือพูดได้นี้ขึ้น เพื่อช่วยให้คนใบ้คนหูหนวกสามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น กลไกการทำงานคือที่ถุงมือจะมีตัวเซ็นเซอร์คอยจำจัดลักษณะการเคลื่อนไหวของ "ภาษามือ" จากนั้นประมวลผลภาษามือออกมาเป็นตัวอักษรและเสียงพูดผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน

8.สุนัขกลแสนรู้ (Techpet)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท
 



หลายคนคงเคยเล่นทามาก็อตจิ ของเล่นสุดฮฺตจากญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ "บันได" (BANDAI) ผู้ผลิตวีดิโอเกมส์และของเล่นรายใหญ่แห่งแดนปลาดิบ ได้ผลิตสัตว์เลี้ยงสุดแปลกโดยมีระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือไอโฟน (iphone) และเล่นผ่านแอพที่มีชื่อว่า“TechPet” เท่านี้ หน้าตาของเจ่าสุนักสุดน่ารักก็จะปรากฏอยู่บนจอไอโฟน พร้อมเคลื่อนไหวได้เหมือนสุนัขตัวเป็น ๆ แถมมันสามารถรับรู้คำสั่งเสียงและการเคลื่อนไหวของเราได้อีกด้วย

9.รองเท้าด้ายไนกี้ (Nike Flyknit Racer)
ไอเดีย ใช้ฟรี – ราคา 4,500 บาท


"ไนกี้" ผู้ผลิตชุดกีฬาชื่อดังได้ผลิตรองเท้า สำหรับวิ่งรุ่นใหม่ โดยผลิตมาจากด้ายชนิดพิเศษตลอดทั้งคู่ ไม่มีการนำวัสดุอื่น ๆ เข้ามาตัดเย็บด้วย ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาแค่เพียง 160 กรัมเท่านั้น จนได้รับการขนานนามว่าเป็นรองเท้าที่ “เบาที่สุดในโลก”

10.ยางเติมลมให้ตัวเอง (Self-inflating tires)
ราคา 6,000 บาท – 15,000 บาท

 

ล้อยางชนิดพิเศษนี้พัฒนาโดยบริษัทกู๊ดเยียร์ โดยการทำงานของยางเส่นนี้จะมีวาล์วสำหรับเปิดปิลม พร้อมกับอุปกรณ์ตรวจวัด แรงดันลมภายในล้อยาง เวลาที่ลมยางอ่อนกว่าที่กำหนด วาล์วในตัวล้อจะเปิดท่อเพื่อเพิ่มลมยางให้เข้าไปในล้อ และเมื่อลมภายในล้ออยู่ระดับปกติ วาล์วก็จะปิดเหมือนเดิม

11.เครื่องถ่ายภาพเสี่ยงภัย (Bounce Imaging)
ราคา 6,000 บาท – 15,000 บาท
 



นักศึกษาจากเอ็มไอทีและกองทัพ ได้ร่วมกันคิดค้นเครื่องสำหรับถ่ายภาพในสถานการณ์เสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไฟม้และจี้ชิงทรัพย์ หรือตัวประกัน โดยเจ้ากล้องตัวนี้มีรูปร่างเหมือนลูกเบสบอลที่สามารถเคลื่อนไหวกระดอนไปมาได้ และมีกล้องทั้งหทด 6 ตัวติดอยู่โดยรอบ พร้อมกับระบบเซ็นเซอร์คุณภาพอากาศ อุณภูมิ รังสี

12.กล้องดิจิตอล Sony RX 100 (Sony RX100 Digital Camera)
ราคา 18,000 บาท – 90,000 บาท

 


กล้องขนาดพกพา แต่คุณภาพเทียบเท่ากล้องโปร SLRs ภายในมีเซ็นเซอร์ขนาด 2.5 เซนติเมตร คอยทำหน้าที่จับภาพอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกัน ตัวกล้องมีขนาดเล็กกว่ากล้อง SLR ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

13.ชุดเหินเวหา (Wingsuit Racing)
ราคา 18,000 บาท – 90,000 บาท



การแข่งขัน "วิงก์สูท ฟลายอิ้ง" ชิงแชมป์โลกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ณ ประเทศจีน กติกาคือผู้เข้าแข่งขันต้องใส่ชุด "วิงก์สูท" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับชุดแบ๊ตแมนมีปีก แล้วกระโดด "ร่อน" เหินเวลาลงมาจากหน้าผาความสูง 1,500 เมตร ลงแตะพื้นโลกในเวลาไม่เกิน 30 วินาที ผู้ชนะคนล่าสุดจากการแข่งขันนี้คือ “จูเลียน บูลล์” จากแอฟริกาใต้ ทำเวลา 23.41 วินาที

14.แว่นตากูเกิ้ล (Google Glass)
ราคา 18,000 บาท – 90,000 บาท
 



แว่นตารูปทรงทันสมัยนี้ พัฒนาโดย บริษัท กูเกิ้ล เสิร์ชเอนจิน เบอร์ 1 ของโลกบนเลนส์ของแว่นกูเกิ้ลจะมี "จอภาพ" ขนาดเล็ก 1.3 เซนติเมตรติดอยู่ด้วย เพื่อให้ผู้สวมใส่ใช้ดูข้อมูลการเชื่อมต่อแว่นเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รวมถึงใช้งานดูไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คาดวางตลาด ปี พ.ศ.2557

15.เครื่องพิมพ์งานมหัศจรรย์ (The MakerBot Replicator 2)
ราคา 18,000 บาท – 90,000 บาท




พรินเตอร์ รุ่น “The MakerBot Replicator 2” ของ บริษัท เมกเกอร์บอต สหรัฐอเมริกา ความสามารถของเครื่องนี้ คือ การพิมพ์งานออกมาในแบบ 3 มิติ เช่นถ้าเราออกแบบ "รถ" เครื่องก็สามารถพิมพ์แบบจำลอง "รถ" จริง ๆ แบบ 3 มิติออกมาได้เลย

16.แบ็กซ์เตอร์ หุ่นยนต์กรรมกร (Baxter)
ราคา 6.6 แสนบาท – 22.5 ล้านบาท



หากสังเกตหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกลในโรงงานงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เราจะพบว่ามีขนาดใหญ่โต ดูไม่น่ามอง ไม่น่ารัก แต่สำหรับหุ่นยนต์ราคาประหยัด "แบ็กซ์เตอร์" กลับต่างออกไป โดยเจ้าแบ็กซ์เตอร์ได้รับการออกแบบโดย "ร็อดนีย์ บรูกส์" ผู้คิดค้นหุ่นยนต์ชื่อดังของอเมริกา โดยเจ้าแบ็กซ์เตอร์ติดตั้งหน้าจอแสดงภาพ "ใบหน้าหุ่นยนต์ยิ้มแย้มน่ารัก" ออกแบบเพื่อทำงานซ้ำ ๆ ประเภทแพ็กของ หรือ คัดแยกของ

17.เครื่องบินบังคับวิทยุพร้อมรบ (The Switchblade Drone)
ราคา 1.2 ล้านบาท – 45 ล้านบาท

 
 
มีขนาดยาว 2 ฟุต หนักเพียง 2.7 กิโลกรัม โดรนเป็นเครื่องบินกองหนุนทางอากาศส่วนตัวของทหารอเมริกัน โดยเมื่อปล่อยมันขึ้นไปแล้ว สามารถบังคับให้พุ่งเข้าไปชนกับเป้าหมาย เพื่อจุดระเบิดที่ฝังอยู่ตรงส่วนหัวของโดรน

18.รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เทสลา โมเดล เอส (The Tesla Model S)
ราคา 6.6 แสนบาท – 22.5 ล้านบาท

 

 
ค่ายรถชื่อดังอย่างจากัวร์ได้ผลิตรถยนต์ระบบพลังงานไฟฟ้า ในรุ่น “เทสลา โมเดล เอส” เมื่อเติมไฟ 1 ครั้งมันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 265 ไมล์ หรือ 426 กิโลเมตร สั่งการด้วยระบบสัมผัส เสริมด้วยระบบจีพีเอสเพื่อปรับช่วงล่างให้พร้อมวิ่งบนทุกพื้นผิวถนน

19.ชุดมนุษย์อวกาศของนาซา (NASA’s Z-1 Space Suit)
ราคา 30 ล้านบาท – 75 ล้านบาท
 
 

 
สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ "นาซา" ได้สร้างชุดมนุษย์อวกาศรุ่น "Z-1 Space Suit" มีคุณสมบัติเด่น คือ ข้อต่อของชุดยืดหยุ่นมากขึ้น ชุดป้องกันรังสีได้นานขึ้น เพื่อให้เหมาะกับภารกิจการสำรวจห้วงอวกาศในจักรวาลได้ดีขึ้น และไม่ต้องกังวลกับฝุ่นละอองในห้วงอวกาศอีกต่อไป

20.เรือดำน้ำลึก (The Deepsea Challenger Submarine)
ราคา 30 ล้านบาท – 75 พันล้านบาท

 
 

เรือดำน้ำลึก "ดีพ-ซี ชาลเลนเจอร์ ซับมารีน" คิดค้นโดย "เจมส์ คาเมรอน" ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง โดยเรือดำน้ำรุ่นนี้หนัก 10 ตัน ยาว 7.3 เมตร ดำลึกลงไปในมหาสมุทรห่างจากผิวน้ำ 11 กิโล เมตร ทนแรงดันได้ 1,000 เท่า ทั้งยังติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบ 3 มิติไว้ รวมถึงโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นแกนตั้งทำให้ดำลงไปในห้วงมหาสมุทรได้ดีขึ้น

21.อาคารบาฮาร์ เมืองอาบู ดาบี (Bahar Towers)
ราคา 30 ล้านบาท – 75 พันล้านบาท

 
 

อาคารบาฮาร์ เมืองอาบู ดาบี ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน ตึกระฟ้ ที่ออกแบบได้สวยงามและเกิดจากแนวคิดการก่อสร้างดีที่สุดในปี พ.ศ.2555 จุดเด่นคือโครงสร้างกระจกกันแสง รอบนอกตัวอาคารที่ควบคุมการทำงานโดยคอมพิวเตอร์ สามารถเปิด-ปิดตามทิศทางของแสงอาทิย์ เพื่อลดความร้อนที่เข้ามาภายในอาคาร รวมถึงช่วยคายความร้อนออกจากตึกได้ถึง 50% เนื่องจากสภาพอกาศที่ร้อนของเมือง อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่บางวันมีอุณภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียส
 
อาคารหลังนี้จึงถือเป็นความท้าทายของสถาปนิกในการออกแบบ นอกจากนี้อาคาร์บาฮาร์ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงปีละประมาณ 1,750 ตันต่อปี
 
22.หุ่นยนต์อยากรู้อยากเห็น (The Curiosity Rover)
ราคา 30 ล้านบาท – 75 พันล้านบาท

 


หุ่นยนต์ "คิวริออสซิตี้" เป็นหุ่นยนต์สำรวจดาวอังคารของนาซา มันถูกส่งไปอยู่บนดาวอังคารเมื่อ เดือน สิงหาคม พ.ศ.2555 มีขนาดพอ ๆ กับรถเอสยูวี 1 คัน หนัก 10 ตัน ขนเอาอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากไปเก็บข้อมูลต่างๆ บนดาวอังคารเป็นระยะเวลา 2 ปี และมันยังมีหนต้าที่สำรวจดูด้วยว่ามีสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนดาวแดงดวงนี้หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเดินออกกำลังที่ผิดวิธี



การ เดินเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่วางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหน้าอีกข้างหนึ่ง แค่นั้นใช่หรือไม่?...ตอบได้ว่าทั้งใช่และไม่ใช่ แต่คุณจะได้ประโยชน์จากการเดินได้มากที่สุด หากแก้ไขข้อผิดพลาดที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
วิธีที่ คุณวางเท้า แกว่งแขน และตำแหน่งของศีรษะ ล้วนอาจทำให้โปรแกรมการเดินของคุณมีประโยชน์หรือไม่ก็ไร้ค่าไปได้ในทันที เคน แมทส์สัน คัชทางฟิตเนส และการเดินแข่งขัน ระบุว่า ทั้งการแกว่งแขนมากเกินไป การก้าวยาว ๆ และการกระแทกเท้าระหว่างเดินก็เป็น "การเคลื่อนไหวที่ผิด" ด้วยเช่นกัน

ข้อ ผิดพลาดเหล่านี้ทำให้คุณเดินช้าลง และเป็นบ่อเกิดการบาดเจ็บ อย่างเช่น กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ (shin splints) ต่อไปนี้จะเป็นคำแนะนำจากแมทส์สันและโค้ชสอนการเดิน เพื่อให้คุณเดินออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย
1. เดินตัวโค้งงอ
บอน นี่ สไตน์ โค้ชกีฬาเดินเร็วกล่าวว่า "นักเดินหลายคนบาดเจ็บขึ้นมา เพราะเขาไม่เดินให้ลำตัวเหยียดตรง" ปัญหาในการวางบุคลิกภาพท่าทางที่สำคัญที่สุดสองอย่างก็คือ การเดินโดยโค้งตัวให้ศีรษะห้อยไปด้านหน้า หรือไม่ก็แหงนไปข้างหลัง สไตน์กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน การที่ร่างกายไม่อยู่ในท่าตั้งตรงจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล ทำให้หลังส่วนล่างเกิดความเครียด ผลก็คือทำให้เกิดความเจ็บปวด
การแก้ไข : จัดแต่งกระดูกสันหลังการ ทำให้ร่างกายและศีรษะตั้งตรงจะทำให้คอและกระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง อย่าเก็บคางเอาไว้ที่คอ ให้มองไปยังข้างหน้า (ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้มองไปข้างหน้าในระยะระหว่าง 3 ถึง 9 เมตร) นอกจากนี้ ให้แขม่วท้อง ลำตัวตั้งตรงและผ่อนคลายหัวไหล่ วิธีหนึ่งที่จะตรวจสอบตัวเองได้ก็โดยการหายใจลึก ๆ ทุก ๆ ห้านาที แล้วหายใจออกแรง ๆ ถ้ารู้สึกว่าหัวไหล่ของคุณตกลงมา นั่นแหละคือท่าทางที่ควรเป็นเวลาเดิน
2. แกว่งแขนมากเกินไป
แมทส์ สัน กล่าวว่า แน่นอนที่แขนของคุณควรจะแกว่งเวลาเดิน แต่หากแขนแกว่งออกข้างในไปข้างนอก คุณกำลังส่งพลังออกไปด้านข้างแทนที่จะส่งไปในแนวที่เดิน "อีกอย่างหนึ่ง หากคุณแกว่งแขนสูงไปด้านหน้า คุณก็ส่งพลังงานขึ้นด้านบนแทนที่จะไปข้างหน้า" ซึ่งนี่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เดินได้ช้าลงด้วย
การแก้ไข : คอยรักษาข้อศอกให้อยู่ใกล้ลำตัวสไตน์ แนะนำให้งอแขนราว 90 องศาและเก็บข้อศอกไว้ใกล้ข้างตัว จะทำให้แขนแกว่งไปข้างหลัง ไม่แกว่งออกข้าง ๆ แล้วอย่าแกว่งมือให้สูงเลยไปกว่าระดับหน้าอก
3. ก้าวยาวเกินไป
การ ก้าวเท้ายาวเกินไปที่จริงแล้วจะทำให้คุณเดินช้าลง เพราะการยื่นส้นเท้าออกไปข้างหน้ามากเกินไป ทำให้ไม่สามารถสร้างแรงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ และเมื่อเวลายื่นเท้าออกไปข้างหน้ามาก ๆ มันก็จะทำหน้าที่คล้ายกับเบรก คือคุณจะย้ายน้ำหนักตัวจากส้นเท้าไปยังปลายเท้าได้ยากขึ้น ทำให้สูญเสียพลังในการเดินไปข้างหน้า
การแก้ไข : วัดระยะก้าวที่เหมาะสมสไต น์ แนะนำว่า เพื่อที่จะหาว่าคุณควรจะก้าวเท้าให้ยาวแค่ไหน ให้ยืนตัวตรง และยื่นเท้าข้างออกไปข้างหน้าไม่ต้องมากนั กโดยให้ส้นเท้าเกือบจะลอยจากพื้น เริ่มย้ายน้ำหนักตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ส้นเท้าที่ยื่นออกไปนั้นจะลดลงมาแตะพื้นและหยุดตัวคุณ นั่นแหละคือตำแหน่งที่เท้าหน้าควรจะอยู่
4. กระทืบเท้าลงบนพื้นเวลาเดิน
ลอง ฟังเสียงเดินของคุณดูว่า มันดังเสียจนปลุกเพื่อนบ้านให้ตื่นได้หรือเปล่า ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณกำลังเพิ่มความเครียดให้กับเท้าและขาทั้งสองข้าง
การแก้ไข : วางเท้าให้เบาลงเวลา ก้าวเดินไปข้างหน้า ส้นเท้าควรจะวางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่เท้าจะวางตามลงไป แล้วทำให้คุณสามารถผลักตัวเองไปข้างหน้าต่อไปด้วยปลายเท้า แมทส์สั กล่าวว่า "จำเอาไว้ว่า หากคุณกำลังเดินแบบกระทืบเท้า นั่นแปลว่าคุณไม่ได้เอาพลังไปขับเคลื่อนให้ไปข้างหน้าไม่เพียงพอ จะเป็นการขัดขวางแรงโมเมนตั้มของการเคลื่อนที่"
5. มือถือของมีน้ำหนัก
ด็อกเตอร์ แมริลินบาค, Ph.D. โค้ชกีฬาเดินเร็วและเป็นผู้ร่วมแต่งหนังสือ Shape-Walking : Six Easy Steps to Your Best Body กล่าวว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป คือการเดินโดยให้มือถือน้ำหนักถ่วงอยู่ไม่ได้ทำให้การบริหารนั้นหนักขึ้น การศึกษาบางครั้งแสดงให้เห็นว่า นักเดินจะเดินได้ช้าลงเมื่อในมือถือของมีน้ำหนัก และเสี่ยงที่จะบาดเจ็บที่ไหล่และท้องแขนจากการเหวี่ยงแขนโดยไม่สามารถควบคุม ได้
การแก้ไข : บริหารยกน้ำหนักเวลาอื่น ไม่ใช่ตอนที่เดินบา ค กล่าวว่า ให้ทำอย่างเหมาะสม การยกน้ำหนักทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทำให้คุณเดินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้บาดเจ็บ แต่จะให้ดีก็ควรจะบริหารยกน้ำหนักที่บ้าน หรือไม่ก็ที่โรงยิม หากต้องการเพิ่มน้ำหนักเข้าไปในขณะเดินเพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและสร้าง กระดูก วิธีที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดก็คือ ให้ใส่น้ำหนักไว้ในเป้หลัง หรือสวมเสื้อถ่วงน้ำหนัก (weighted vest)
6.ไม่มีการอุ่นเครื่องเสียก่อน
แน่ นอนที่การตรงเข้าทำการบริหารร่างกายทันทีเป็นการประหยัดเวลา แต่อีกไม่นานคุณก็ต้องรับผลจากการกระทำเช่นนี้ เจค เจค็อปเช่น ผู้แต่งหนังสือชื่อ Healthwalk to Fitness บอกว่า การเริ่มต้นอย่างรวดเร็วเกินไป รังแต่จะทำให้เพิ่มโอกาสที่จะล้มเหลวก่อนที่จะได้ประโยชน์ใด ๆ จากการเดินเต็มที่ แล้วยังทำให้คุณเจ็บปวดกล้ามเนื้อและง่ายต่อการได้รับบาดเจ็บ
การแก้ไข : ค่อย ๆ เริ่มอย่างช้า ๆเจ ค็อปสันกล่าวว่า ให้ใช้เวลาห้านาที แรกเริ่มเดินช้า ๆ เสียก่อน จะช่วยให้โลหิตไหลไปตามกล้ามเนื้อขาได้มากขึ้นและเป็นการวอร์มอัพ ซึ่งสำคัญมากในการป้องกันการบาดเจ็บ พอร่างกายอุ่นขึ้นแล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้น
7. ไม่มีการผ่อนก่อนหยุด
การ ไม่ค่อย ๆ ผ่อนก่อนหยุดบริหาร และไม่ทำการบริหารยืดหยุ่นหลังการออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเฉื่อยชาไปชั่ว คราวและทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นของร่างกาย
การแก้ไข : ค่อย ๆ เดินให้ช้าลงก่อนหยุดเดินใช้ เวลา 5 ถึง 10 นาทีก่อนจะหยุดเดินด้วยการกลับมาเดินให้ช้าลงเสียก่อน สไตน์ กล่าวว่า "เมื่อใดก็ตามที่คุณเดินมาหนักพอที่จะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจแล้ว เราก็จำเป็นต้องปล่อยให้ร่างกายค่อย ๆ เย็นลงอย่างช้า ๆ" หากคุณหยุดทันที โลหิตส่วนเกินทั้งหมดที่สูบฉีดไปที่กล้ามเนื้อขาจะกองกันอยู่ตรงนั้น ทำให้รู้สึกวิงเวียนและรู้สึกร้อนมากเกินไป

บาค เพิ่มเติมว่า ให้ค่อย ๆ ทำให้ร่างกายเย็นลงและตามด้วยการยืดกล้ามเนื้อง่าย ๆ กล้ามเนื้อจะได้ไม่ติดขัดและแข็ง ให้อ่านในกรอบ "ค่อย ๆ ผ่อนคลาย"
ค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ยืดกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วยวิธีต่อไปนี้

ยืดกล้ามเนื้อขา ยืนให้หลังตรงแขนทั้งสองห้อยข้างลำตัว แยกเท้าให้กว้างเท่ากับหัวไหล่ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กดขาขวาตามลงไปและยกปลายเท้าขึ้นมา ค้างเอาไว้สัก 10 วินาที จากนั้นผ่อนคลายและยืดอีกครั้ง คราวนี้ค้างไว้ 30 วินาที ทำซ้ำแบบเดียวกันกับขาซ้าย
ยืดเท้าและน่อง ยืนตรงโดยให้แขนสองข้างแนบข้างตัว ยกปลายเท้าขวาขึ้นมาจากพื้น ค้างไว้โดยนับถึงสอง แล้วค่อย ๆ วางกลับลงมา ทำแบบเดียวกันกับขาซ้าย
หมุนส้นเท้า นั่งลงโดยให้ข้อเท้าซ้ายวางลงบนเข่าขวา จับข้อเท้าซ้ายและส้นเท้าด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างจับเท้าซ้ายและ นิ้วเท้า ดึงนิ้วเท้าไปทางฝ่าเท้า ค้างเอาไว้ 30 วินาที จากนั้นผ่อนคลายลง ทำซ้ำเช่นนี้กับขาขวา
ผ่อนคลายแผ่นหลัง นอนคว่ำหน้าลงโดยวางแขนไว้ข้างตัว ยกศีรษะขึ้น และยกคางขึ้นเหนือพื้น แอ่นหลังให้หน้าอกยกพ้นพื้นโดยใช้การนับให้ถึงสอง ยกค้างไว้แล้วนับไปอีกสอง ค่อย ๆ ลดหน้าอกลงบนพื้นโดยนับสองเช่นกัน พอทำไปเรื่อย ๆ ก็ทำโดยนับให้นานขึ้นโดยนับให้เป็นสี่

ครอบครัวเล็กๆที่อาศัยท่อน้ำทิ้งมานาน 22 ปี




มิ เกล เรสทริโป อดีตขี้ยาที่หันหลังโบกมือลายาเสพติดธุรกิจผิดกฏหมายในเมืองมีเดวลิน เขากับมาเรีย การ์เซีย ภรรยาของเขาปรับปรุงท่อน้ำทิ้งให้กลายเป็นบ้านเล็กๆที่เขาอาศัยร่วมกันมา 22 ปีกับ แบล็คกี้ สุนัขอีก 1 ตัว แม้จะมีพื้นที่เล็กๆกว้าง 3 เมตร ยาว 2 เมตร สูงเพียงแค่ 1.4 เมตร แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเหมือนกับบ้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัว เตียง พัดลม หรือแม้แต่โทรทัศน์ เพียงเท่านี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่ามันเพียงพอสำหรับครอบครัวเล็กๆของ เขา

แม้ว่าตอน นี้ครอบครัวของเขาสามารถใช้ชีวิตถูกกฏหมายเหมือนคนทั่วไป และรัฐบาลพยายามบังคับให้เขาออกจากท่อน้ำทิ้งเสียเพราะมันเป็นของสาธารณะ แต่พวกเขาก็พอใจที่จะอยู่ที่นี่จนผ่านมา 22 ปีแล้ว













Schengen Agreement

ความตกลงเชงเกน (อังกฤษ: Schengen Agreement) เป็นความตกลงระหว่างประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปอัน ให้สัตยาบันเมื่อ พ.ศ. 2528 สาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้สมาชิกในกลุ่มสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้อง ถือหนังสือเดินทาง ข้อตกลงนี้มีผลต่อประชากร 4,000,000 คนใน 24 ประเทศ (21 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครอบคลุมเนื้อที่ 4,268,633 ตารางกิโลเมตร (1,648,128 ตารางไมล์) นอกจากนั้นยังให้การอนุญาตชั่วคราวกับผู้ถือใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) มีสิทธิในการเดินทางได้ชั่วคราวในประเทศสมาชิกโดยถือใบอนุญาตใบเดียว ตามสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม (Treaty of Amsterdam) ข้อตกลงและตัดสินใจทุกข้อของความตกลงเชงเกนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายของสหภาพยุโรป
ประเทศที่ลงนามในความตกลงฉบับนี้มีด้วยกัน 30 ประเทศรวมทั้งประเทศในสหภาพยุโรปทุกประเทศ และประเทศนอกสหภาพอีก 3 ประเทศคือ ประเทศไอซ์แลนด์ ประเทศนอร์เวย์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันมี 26 ประเทศที่ใช้ความตกลงนี้ สหราชอาณาจักรยังมิได้ใช่กฏนี้ หลังจากที่มีการปฏิบัติข้อตกลงนี้ด่านหรือป้อมตรวจคนเข้าเมืองของประเทศที่อยู่ในเครือเชงเกนก็ถูกรื้อทิ้ง


ประเทศที่อนุญาตให้ประชาชนในกลุ่มเชงเกนสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ ต้องถือหนังสือเดินทาง และประชาชนจากประเทศนอกกลุ่มเชงเกนเดินทางระหว่างประเทศเชงเกนได้โดยใช้ใบ อนุญาตเพียงใบเดียว - ใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) ประเทศสมาชิกทั้งหมดหลังจากการเข้าร่วมเพิ่มในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย
แผนที่แสดงการเข้าร่วมข้อตกลงเชงเกน สีฟ้าคือประเทศที่ประกาศใช้แล้ว สีเขียวคือประเทศที่เตรียมเข้าร่วม
  • ประเทศเบลเยียม
  • ประเทศฝรั่งเศส
  • ประเทศอิตาลี
  • ประเทศลักเซมเบิร์ก
  • ประเทศเนเธอร์แลนด์
  • ประเทศเดนมาร์ก
  • ประเทศกรีซ
  • ประเทศโปรตุเกส
  • ประเทศสเปน
  • ประเทศเยอรมนี
  • ประเทศออสเตรีย
  • ประเทศฟินแลนด์
  • ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • ประเทศสวีเดน
  • ประเทศนอร์เวย์
  • ประเทศไอซ์แลนด์
  • ประเทศมอลตา
  • สาธารณรัฐเช็ก
  • ประเทศเอสโตเนีย
  • ประเทศฮังการี
  • ประเทศโปแลนด์
  • ประเทศสโลวาเกีย
  • ประเทศสโลวีเนีย
  • ประเทศลัตเวีย
  • ประเทศลิทัวเนีย
  • ประเทศโมนาโก
ประเทศไซปรัส เลื่อนการอนุญาตไปหนึ่งปี ประเทศบัลแกเรีย และ ประเทศโรมาเนีย ยังอยู่ในการพิจารณา

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พริกป่น



 เรา รับประทานพริกป่นเป็นอาหารหลักกันมานมนาน คุณเคยรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของพริกป่นบ้างไหม...การค้นพบนี้ต่างประเทศเขา ตื่นเต้นกันยกใหญ่ เสียแต่เขามีข้อจำกัดที่แพ้รสเผ็ดร้อนของพริกกัน ซึ่งเทียบกับเราแล้วถือว่าได้เปรียบมาก
 1. ในพริกป่นมีทั้งรสและกลิ่นเผ็ดร้อนที่ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในพริกที่ทำเรารู้สึกอย่างนั้นก็คือ capsaicin

 2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต

 3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน

 4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้

 5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยอย่างนี้ต้องหาอาหารแซ่บด้วยพริกป่น มารับประทาน กันแล้วละค่ะ ใครที่ไม่ทานรสเผ็ดต้องลองทานบ้างนะค่ะ อ่านแล้วน่าจะป้องกันได้ ต้องลองทานรสแซบกันบ้างนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ห้ามวาง "แปรงสีฟัน" ใกล้ชักโครก


คุณรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่สะสมเชื้อโรคมากที่สุดในห้องน้ำคือ...แปรงสีฟัน
โดย เฉพาะหากแปรงสีฟันนั้นวางไว้ใกล้กับชักโครกมากเกินไป เพราะเวลาที่คุณกดชักโครกขณะที่เปิดฝาทิ้งไว้ ละอองสิ่งสกปรกจะกระเด็นออกจากชักโครกไปติดตามพื้นผิวทุกอย่างในห้องน้ำ และไม่ใช่แค่ละอองจากชักโครกเท่านั้นแต่ทุกครั้งที่แปรงฟันก็จะมีเศษอาหาร แบคทีเรีย คราบเลือดและน้ำลายติดมากับแปรงสีฟัน ซึ่งหากไม่ทำความสะอาดดีๆหลังแปรงฟัน สิ่งสกปรกและเชื้อโรคก็จะกลับเข้าร่างกายอีกครั้งเมื่อแปรงฟันครั้งต่อไป
ทางด้านด็อกเตอร์ทอม กลาส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคในช่องปากที่มหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า บอก ว่า แปรงสีฟันแต่ละอันมีจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงไวรัสไข้หวัดใหญ่ สเตร็ปโตคอคคัส สตาฟีโลคอคคัส ยังไม่นับรวมแบคทีเรียอีกหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกและหินปูน นอกจากนี้แปรงสีฟันยังเป็นแหล่งผสมพันธุ์ที่ดีของจุลินทรีย์ต่างๆที่สามารถ รอดชีวิตได้หลายวันจากเศษอาหารและน้ำที่ติดตามแปรงสีฟัน
คำแนะนำวิธีทำให้แปรงสีฟันห่างไกลจากแบคทีเรียมากที่สุด
1. อย่าวางแปรงไว้ใกล้กับชักโครกมากเกินไป
2. อย่างใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น พยายามเก็นแปรงของสมาชิกในครอบครัวให้ห่างกันอย่างน้อย 1 นิ้ว เพื่อไม่ให้เชื้อโรคติดต่อถึงกัน
3. ล้างแปรงให้สะอาดหลังใช้ ปล่อยให้แห้งสักพักในตำแหน่งหัวแปรงชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งจะป้องกันไม่ให้แบคทีเรียผสมพันธุ์กันได้ง่ายนัก และอย่างเก็บในภาชนะปิดที่อับชื้น
4. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกครั้งหลังเป็นหวัด
5. พยายามใช้น้ำยาบ้วนปากก่อนแปรงฟัน ซึ่งจะลดจำนวนแบคทีเรียที่ติดไปกับแปรงสีฟัน
6. เปลี่ยนแปรงใหม่ทุก 3-4 เดือน หรือบ่อยกว่านั้นหากขนแปรงเริ่มบานออก
ส่วนข้อไม่แนะนำคือไม่ควรนำแปรงสีฟันล้างในเครื่องล้างจานหรือใส่ในเตาไมโครเวฟเพื่อฆ่าเชื้อโรคเพราะจะทำให้ด้ามพลาสติกละลายได้

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10 monster traffic jams from around the world

10 monster traffic jams from around the world

Bangkok jam
The story of traffic problems in Brazil's biggest city, Sao Paulo, which suffers jams of up to 180km at some points in the week, brought a worldwide response from readers. Here are 10 of their gridlock stories - plus one that's traffic-free.

Bangkok, Thailand

Bangkok's traffic problem has been getting worse since the government introduced a policy to refund tax for first-time car buyers.

Sirithep Vadrakchit's commute

  • One hour to travel 50-60km into Bangkok
  • Mode of transport: Commuter van
Coupled with the Thai aspiration to own a car and get some status, this policy has resulted in five million vehicles in a city which can only cope with less than two million cars.
Once I got into a jam in downtown Bangkok, when I spent almost two hours moving less than a kilometre. Sometimes, my colleagues have arrived at work up to four hours late. I think the city should be more serious about public transport. People have better things to do than sit on the roads for hours every day.
Two or three weeks ago, travelling from Pathum Thani to central Bangkok, it took four and a half hours for a journey which usually takes less than an hour. Sirithep Vadrakchit, Thailand

Jakarta, Indonesia

Jakarta
Indonesians living in Jakarta have their own word for traffic jam - the inevitable "macet".

Allan Bell's commute

  • I'm moving to a new job and will give myself 90 minutes to two hours to cover 20-25km
  • Mode of transport: I usually use taxis as they are generally braver
  • Another option is the Ojek, a motorcycle taxi service - it's good, fast and cuts through the traffic, and large numbers of people in hospitals all over Jakarta can attest to its popularity
Your life is planned around the traffic jams which often continue through the day. Travelling even short distances can take hours and some parts of the city are in a constant state of jam.
Unfortunately there is little alternative. Public transport is poor and even recent initiatives such as a trans-Jakarta bus lane are inefficient and even contribute to the problem by clogging intersections and reducing road space while moving comparatively small numbers of people.
Last week I went out to visit our new house. My driver got lost and ended up in Ciputat, a suburb notorious for traffic, and it took us about 30 minutes to cover 2km. Two hours to work in Sao Paolo? it's the stuff of dreams. Allan Bell, Jakarta

Nairobi, Kenya

Nairobi jam
The worst thing that the British colonialists left us with were the roundabouts.

Arthur Buliva's commute

  • On a good traffic-free day, one hour to cover 12km - but on Friday evenings, your guess is as good as mine - anything from three hours
  • Mode of transport: Matatu (minibus) and my own car occasionally
These are the main source of traffic problems in Nairobi since the place to which you are headed may be very clear, but because the cars already in the roundabout have the right of way you are forced to wait.
Unpredictable traffic is the way of life here. Even if a place is only a kilometre away, you are safer leaving your house an hour ahead of time or even just walking. But laziness and pride makes walking to be frowned upon. The worst traffic jams are every Friday - when it rains even a little, you can even sleep in the road. Arthur Buliva, Nairobi

Manila, Philippines

Manila traffic
In Manila, the traffic congestion used to be unbelievable.

Bernie G Recrio's commute

Bernie Recrio
  • It's 7km to my meat shop - on a good day, it takes 10 minutes, on bad days, 45 minutes
  • But if you take public transport it's even worse
  • Mode of transport: My own car
My worst-ever commute was 10 years ago, on my way home. We left Pampanga at 5.30pm and arrived home in Las Pinas City at 1.30am.
But congestion has begun to ease a bit with an odd/even scheme, which forbids car owners to hit the road one day a week.
If your registration plate number ends in the numeral one or two, then you're not allowed to use your car on a Monday.
If your plate number ends in three or four, you can't drive on Tuesday, and so on.
However, during weekends, the scheme is suspended, allowing everybody to use the road, and that's when you're back to reality. Bernie G Recrio, Las Pinas City, Philippines

Mumbai, India

David James's commute

David James
  • Between 90 minutes and two hours to go 18km
  • Mode of transport: Car
Sao Paulo drivers are lucky - 180km of traffic jams in Sao Paulo would be super-jammed into 5km in India.
This is not an exaggeration. That ambulance you see between lanes is where every driver in India thinks he ought to be.
Add to that the cows, ponies and beggars that surround your car, and that is just the beginning.
Indians seem to think the car in front of them runs on their horn, not petrol - so blast away, even if the poor driver in front is only crawling as fast as the hundred cars in front of him. David James, Mumbai

Kampala, Uganda

Kampala traffic
We experience traffic jams every morning and evening.
And especially when it rains.
This is due to very bad road conditions, coupled with poor drainage systems.
The whole place is usually thrown into a total mess even though the stretches of the jams are not that long.
Motorists spend hours trying to manoeuvre through these terrible roads. Bob Sembatya, Kampala

Lexington, Kentucky, US

Lexington calls itself the Horse Capital of the World and it shows.

Lyle Goodwin's commute

Lyle Goodwin
  • Three to 20 minutes to cover 2.5 miles
  • Mode of transport: My wife and I often use bicycles, but the traffic is pretty frightening
The city was laid out in the years before the industrial revolution, and since the mid-1900s, the explosion in car ownership has swamped the traffic system.
Our biggest road is so overcome with its burden that central lanes have to change direction at each rush hour. If you move the other direction, heaven help you.
The outer ring road clogs every morning and evening, especially because no trees were ever planted to keep the sun from shining directly in motorists' faces at the busiest exchange, a 100-metre free-for-all where merging traffic competes with exiting traffic for the chance to smash each other to bits.
All this in the home of the largest indoor basketball arena, where games are scheduled sometimes for immediately after rush hour, and you have a level of anarchy that only a rural city in America could create.
Once, driving on my morning commute, it took me an hour to get to work. The drive without congestion is 15 minutes. Lyle Goodwin, Lexington, Kentucky

Austin, Texas, US

Neysa Joseph-Orr's commute

Neysa Joseph-Orr
  • 45 minutes to cover 3km
  • Mode of transport: My own car (for which I castigate myself daily)
On any given day, as I sit in my car in traffic with the air conditioning whipping my hair around and the radio blasting, I see two things that make me feel both guilty and shocked.
A vacant city bus inching along my route and an empty tram cutting across traffic at 5pm.
For a city like Austin, experiencing only a fraction of the growing pains that a place like Sao Paolo is undergoing, this is the future.
A future cut off from each other in our middle-class lives, so we can be comfortable in our air-conditioned cars and not think about the implications of an energy-efficient city bus crawling along in traffic right by our side. Neysa Joseph-Orr, Austin, Texas

Seoul, South Korea

Seoul jam
Seoul drivers are notorious for ignoring any traffic rules, especially red lights, and will drive across intersections over red lights. This is called "biting tails" in Korean and means you end up with a few cars blocking the intersection when you get a green light - so you're stuck.
This happens at every crossroad - and there are lots of crossroads - hence the fantastic 2mph experience.
Then on the weekends you battle your way out of town at a snail's pace of about 15-20mph, and of course trying to get back into Seoul on a Sunday afternoon can take four hours for what should be only a 40-minute drive. You end up frustrated and drained.
Maybe I should invest in a Korean navigation set with an in-built TV so I can watch the soaps while I'm driving/crawling along like everyone else. Martina Marek, Seoul, South Korea

Dhaka, Bangladesh

Dhaka jam
Dhaka is arguably the most densely populated city in the world.
It lacks a mass transit system or a major freeway to support the 15 million people who live and work here. A 15km ride in an auto-rickshaw can take two to three hours in heavy traffic, during which one often has to contend with dust, exhaust fumes, extreme heat and noise pollution. Traffic laws aren't usually enforced and vehicles move in an terrifying dance routine. Joshua Martin, Dhaka

And finally... Megeve, French Alps

I work in my chalet in the French Alpine resort of Megeve. I leave my bedroom at about 8am, according to how much wine I have drunk the evening before.

Vincent Bowler's commute

Vincent
  • About 7.5m in eight seconds
  • Mode of transport: My slippered feet
I commute two flights of stairs to my office every morning, glancing at Mont Blanc as I pass the first window, and I take a 20-minute break after the first flight, which is called breakfast. I then continue my commuting, which in all takes about 10 seconds, unless I cross someone coming in the opposite direction, which can add a further second to my journey.
The only times when the stairs get really congested are during holiday periods when lazy members of the family arrive to profit from their rich but hard-working brother. Then the journey can be a nightmare, so I leave them to the bustle of the stairs, while I take the lift. Vincent Bowler, Megeve