การเรียนภาษาต่างประเทศให้
รู้หลายๆภาษา นอกจากจะทำให้เราสามารถทำความเข้าใจ
สื่อสารกับเพื่อนต่างชาติได้ หรือมีโอกาสทำงานดีๆได้มากขึ้นแล้ว
ยังมีประโยชน์แฝงอีกมากมายหลายอย่าง
การวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยข้อมูลให้เราได้รู้อีกว่า นอกจากประโยชน์หลักๆโดยตรงแล้ว การเรียนหลายๆภาษายังมีข้อดีกับเราอีกมากมาย ลองมาดูกันเลยว่าอะไรบ้าง
1. ทำให้เราฉลาดขึ้นกว่าเดิม
การเรียนรู้ภาษาใหม่ ทำให้สมองเราได้ทำงานและแก้ไขปัญหา
ทั้งการเรียนรู้จดจำ การแปลความหมาย รูปแบบประโยคที่ต่างกัน
ทำให้นักเรียนที่รู้หลายภาษามีโอกาสทำคะแนนในวิชาอื่นๆดีกว่านักเรียนที่รู้
เพียงภาษาเดียวด้วย
2. ช่วยในการทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน
คนที่สามารถเรียนรู้หลายภาษา จะมีความสามารถในการทำงานได้พร้อมกัน
รวมถึงสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆรอบตัวได้อย่างดี
เป็นผลจากการฝึกเรียนรู้การพูด ฟัง เขียน ในรูปแบบที่ต่างกันนั่นเอง
ผลวิจัยยังพบว่าคนที่รู้หลายภาษา ขับรถได้ผิดพลาดน้อยกว่าด้วยล่ะ
3. ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์
เปรียบเทียบข้อมูลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
ซึ่งคนที่เรียนรู้ภาษาเดียวจะเป็นอัลไซเมอร์เฉลี่ยที่อายุ 71.4 ปี
แต่คนที่มีความรู้หลายภาษา จะสามารถยืดความทรงจำดีๆไปได้ถึง 75.5 ปี
4. เพิ่มความทรงจำ
การศึกษาพบว่าการใช้งานสมองเรียนภาษาใหม่ จะทำให้เกิดการจดจำบ่อยๆ
สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บความทรงจำให้เราได้มากขึ้น
เช่นเดียวกับฝึกวิดพื้นบ่อยๆแล้วแขน หรือร่างกายช่วงบนจะแข็งแรงขึ้นนั่นเอง
5. เสริมความสามารถ ในการรับรู้แยกแยะข้อมูล
มหาวิทยาลัยในสเปน พบว่าการเรียนรู้หลายภาษา
ช่วยให้เรามีความสามารถในการแยกแยะข้อมูล กลั่นกรองถึงความถูกต้อง
รวมถึงคนที่มีความสามารถในภาษาต่างๆ
จะมีโอกาสวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาผิดพลาดน้อยกว่าคนที่ใช้ภาษาเดียว
6. เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ
มหาวิทยาลัยชิคาโก้ ในสหรัฐอเมริกา ระบุว่าการรับรู้คำศัพท์ใหม่ๆ
จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้คำศัพท์ได้ดีขึ้น
ส่งผลถึงความสามารถในการตัดสินใจที่เพิ่มมากขึ้น
ช่วยให้เลือกทำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดี
7. ใช้ภาษาหลักได้เก่งกว่าเดิม
การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ทำให้เราจับรูปแบบภาษาหลายๆภาษาทั่วโลก
ซึ่งล้วนแต่มีรากมาจากการพูดเดียวกัน
เพราะฉะนั้นจึงส่งผลทางอ้อมให้สามารถใช้ภาษาหลักของเราได้ดีกว่าเดิม
เป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนอีกอย่างหนึ่ง
เห็นแบบนี้แล้วคงจะเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆกันแล้วนะครับ
โดยเฉพาะในอนาคตที่ดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษ เพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ ต้องมีการเรียนภาษาที่ 3 เพิ่มเข้ามาอีก เพื่ออนาคตในการทำงานและการใช้ชีวิตจะได้ไม่เสียเปรียบนั่นเองล่ะครับ…
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เคล็ดลับการพัฒนาภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว
เคล็ดลับการพัฒนาภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น ให้เห็นผลดีที่สุด ลองมาดูกันว่าทำอย่างไร
1. เอาภาษาอังกฤษเข้ามาในชีวิต
โดยเริ่มจากวิธีง่ายๆที่ทำได้ เช่น อ่านหรือดูข่าวภาษาอังกฤษ หัดฟังเพลงภาษาอังกฤษ ดูภาพยนตร์ สารคดี หรือการ์ตูนก็ได้ ตอนแรกที่เริ่มอาจจะเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทย เพื่อดูว่าคำพูดนั้นมันสัมพันธ์กับความหมายอย่างไร
ทำไปสักระยะเมื่อชำนาญขึ้น ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ หรือปิดซับไตเติ้ล การหัดอ่าน หัดฟัง หรือดูอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ จะช่วยให้เราคุ้นชินได้เร็วขึ้น
2. หัดคิดเป็นภาษาอังกฤษก่อนที่เราจะพูดหรือเขียน เราต้องคิดก่อนทุกครั้ง นั่นจึงเป็นที่มาของการฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้ตัวเราค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นคนใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น โดยเน้นเป้าหมายไปที่การทำงานของสมองโดยตรง
สมมติเราคิดจะเปิดตู้เย็นหยิบนมมากิน แทนที่เราจะคิดว่าเปิดตู้เย็นหยิบนม เราก็เปลี่ยนเป็นคิดให้ได้ว่า I want to drink some milk. ทำบ่อยๆในหลายๆเรื่องก็จะคล่องขึ้นมากล่ะ
3. หมั่นสังเกต และจดจำสิ่งรอบตัว
เมื่อเราเดินทางไปตามที่ต่างๆ มักจะพบเจอกับป้ายบอกทาง สัญลักษณ์ และป้ายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันจะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้เกือบทั้งหมด การหมั่นสังเกตและจดจำคำศัพท์เทียบกับภาษาไทยบนป้าย ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น
ขอบอกว่าพี่เองก็ได้ประโยชน์จากการอ่านป้ายต่างๆนี้เหมือนกัน อย่างสมัยเด็กรู้ว่า Welcome แปลว่ายินดีก็เพราะป้ายข้างทาง รู้ว่า Toilet แปลว่าห้องน้ำก็เพราะป้ายบอกทางอีกเช่นกัน
4. พูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ ไม่ต้องกลัวผิดหลักการ สนทนาภาษาอังกฤษนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยกล้า อาจจะเพราะอาย หรือกลัวพูดผิด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคนไปอยู่ต่างประเทศถึงพูดอังกฤษเก่งเร็ว เพราะไม่ใช่ว่ากล้าพูด แต่เพราะจำเป็นต้องพูดในชีวิตนั่นเอง
บางครั้งการพูดอาจจะไม่ถูกหลักก็ไม่เป็นไร ขอเพียงพูดแล้วเข้าใจ และสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง ก็เป็นเป้าหมายสำคัญของการใช้ภาษาแล้ว พอเริ่มใช้คล่องและมีการพัฒนา ค่อยไปแก้แกรมม่า หรือแก้ให้ถูกในภายหลังก็ยังทันอยู่ ไม่ต้องกังวลเลย
5. ฝึกการจับความหมายจากประโยคภาษาอังกฤษบาง ครั้งเราอาจจะไม่เข้าใจความหมายทุกคำในประโยคที่อ่าน หรืออาจจะฟังไม่ทันเพราะเพื่อนพูดเร็วไป เราสามารถใช้การจับคำศัพท์บางคำในประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายได้ โดยไม่ต้องเข้าใจทุกคำ
ตัวอย่างเช่นเมื่อมีคนถามว่า Are you going to have a dinner with me, tonight? เราอาจจะได้ยินแค่ว่า dinner และ tonight เท่านั้น แต่ก็คงจะพอเดาได้ว่าเพื่อนคงจะชวนทานข้าวเย็น ก็เลยตอบไปว่า Yes, I’d like to go to McDonald’s. ก็ถือว่าสื่อสารกันเข้าใจนั่นเอง
สรุปว่าแนวคิดในการฝึกพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษา เราก็ต้องอยู่กับภาษาอังกฤษให้มาก กล้าใช้มากกว่าเดิม และหมั่นจดจำเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอด
1. เอาภาษาอังกฤษเข้ามาในชีวิต
โดยเริ่มจากวิธีง่ายๆที่ทำได้ เช่น อ่านหรือดูข่าวภาษาอังกฤษ หัดฟังเพลงภาษาอังกฤษ ดูภาพยนตร์ สารคดี หรือการ์ตูนก็ได้ ตอนแรกที่เริ่มอาจจะเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทย เพื่อดูว่าคำพูดนั้นมันสัมพันธ์กับความหมายอย่างไร
ทำไปสักระยะเมื่อชำนาญขึ้น ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ หรือปิดซับไตเติ้ล การหัดอ่าน หัดฟัง หรือดูอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ จะช่วยให้เราคุ้นชินได้เร็วขึ้น
2. หัดคิดเป็นภาษาอังกฤษก่อนที่เราจะพูดหรือเขียน เราต้องคิดก่อนทุกครั้ง นั่นจึงเป็นที่มาของการฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้ตัวเราค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นคนใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น โดยเน้นเป้าหมายไปที่การทำงานของสมองโดยตรง
สมมติเราคิดจะเปิดตู้เย็นหยิบนมมากิน แทนที่เราจะคิดว่าเปิดตู้เย็นหยิบนม เราก็เปลี่ยนเป็นคิดให้ได้ว่า I want to drink some milk. ทำบ่อยๆในหลายๆเรื่องก็จะคล่องขึ้นมากล่ะ
3. หมั่นสังเกต และจดจำสิ่งรอบตัว
เมื่อเราเดินทางไปตามที่ต่างๆ มักจะพบเจอกับป้ายบอกทาง สัญลักษณ์ และป้ายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันจะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้เกือบทั้งหมด การหมั่นสังเกตและจดจำคำศัพท์เทียบกับภาษาไทยบนป้าย ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น
ขอบอกว่าพี่เองก็ได้ประโยชน์จากการอ่านป้ายต่างๆนี้เหมือนกัน อย่างสมัยเด็กรู้ว่า Welcome แปลว่ายินดีก็เพราะป้ายข้างทาง รู้ว่า Toilet แปลว่าห้องน้ำก็เพราะป้ายบอกทางอีกเช่นกัน
4. พูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ ไม่ต้องกลัวผิดหลักการ สนทนาภาษาอังกฤษนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยกล้า อาจจะเพราะอาย หรือกลัวพูดผิด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคนไปอยู่ต่างประเทศถึงพูดอังกฤษเก่งเร็ว เพราะไม่ใช่ว่ากล้าพูด แต่เพราะจำเป็นต้องพูดในชีวิตนั่นเอง
บางครั้งการพูดอาจจะไม่ถูกหลักก็ไม่เป็นไร ขอเพียงพูดแล้วเข้าใจ และสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง ก็เป็นเป้าหมายสำคัญของการใช้ภาษาแล้ว พอเริ่มใช้คล่องและมีการพัฒนา ค่อยไปแก้แกรมม่า หรือแก้ให้ถูกในภายหลังก็ยังทันอยู่ ไม่ต้องกังวลเลย
5. ฝึกการจับความหมายจากประโยคภาษาอังกฤษบาง ครั้งเราอาจจะไม่เข้าใจความหมายทุกคำในประโยคที่อ่าน หรืออาจจะฟังไม่ทันเพราะเพื่อนพูดเร็วไป เราสามารถใช้การจับคำศัพท์บางคำในประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายได้ โดยไม่ต้องเข้าใจทุกคำ
ตัวอย่างเช่นเมื่อมีคนถามว่า Are you going to have a dinner with me, tonight? เราอาจจะได้ยินแค่ว่า dinner และ tonight เท่านั้น แต่ก็คงจะพอเดาได้ว่าเพื่อนคงจะชวนทานข้าวเย็น ก็เลยตอบไปว่า Yes, I’d like to go to McDonald’s. ก็ถือว่าสื่อสารกันเข้าใจนั่นเอง
สรุปว่าแนวคิดในการฝึกพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษา เราก็ต้องอยู่กับภาษาอังกฤษให้มาก กล้าใช้มากกว่าเดิม และหมั่นจดจำเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอด
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556
สูง !!!
สาวๆหนุ่มหรือวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ว่าใครก็คงอยากสูงกันทั้งนั้น เพราะช่วยทำให้มีบุคลิกภาพที่ดีมากขึ้น แต่งตัวยังไงก็ดูดีไปหมด โดยฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตหรือเพิ่มส่วนสูงที่สำคัญมากชนิดหนึ่งนั่นก็คือ
โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ซึ่งช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตและมีความสำคัญอย่างมากกับการเพิ่มความสูงซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด
ไทรอยด์ (Thyroid Gland)โดยเฉพาะฮอร์โมนไทร็อกซิน(Thyroxin) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้กระดูกมีพัฒนาการดี ถ้าขาดฮอร์โมนชนิดนี้อาจทำให้มีรูปร่างเตี้ย แคระ ไม่สมส่วนได้
ฮอร์โมนเพศ อย่างเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) และเทสโทสเตอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ก็มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตได้เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะไปช่วยกระตุ้นการหลั่งของโกรทฮอร์โมนให้เพิ่มมากขึ้น และช่วยกระตุ้นให้กระดูกยืดยาว จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเด็กวัยรุ่นถึงโตเร็ว
ความสูงกับเรื่องคุณต้องรู้ !
1. ปกติทั่วไปแล้วผู้หญิงจะหยุดสูงเมื่ออายุประมาณ 17 ปี ส่วนผู้ชายจะหยุดสูงเมื่ออายุประมาณ 19 ปี จนถึง 25 ปี ทั้งนี้แล้วแต่ละบุคคลจะไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเลยวัยนี้ไปแล้วจะไม่สามารถเพิ่มส่วนสูงได้ตามต้องการ ดังนั้นสำหรับผู้มีโอกาสไม่ควรที่จะพลาดโอกาสดีๆ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสทางชีวิต สังคม การงาน ซึ่งก็มีผลแทบทั้งสิ้น
2. รู้หรือไม่มีงานวิจัยระบุไว้ว่าผู้หญิงเพียง 13% เท่านั้นที่ยอมออกเดทกับผู้ชายซึ่งมีส่วนสูงน้อยกว่าตน แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาดีก็ตาม ซึ่งงานวิจัยระบุไว้ว่าผู้ชายตัวสูงๆจะดูแข็งแรงและเป็นที่พึ่งได้ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยนั่นเอง (แม้หน้าตาจะไม่ดีก็ตาม การมีความสูงที่สูงกว่าจึงถือมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วนั่นเอง)
3. อีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่าผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่าผู้หญิงนั้นมากกว่า 76% ไม่กล้าขอออกเดทกับผู้หญิงที่มีส่วนสูงมากกว่าตน ซึ่งเป็นเพราะขาดความมั่นใจในตัวเองและคิดไปต่างๆนานาว่าจะถูกฝ่ายหญิงปฏิเสธการออกเดทนั่นเอง ส่วนสูงที่น้อยกว่าของผู้ขายจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของความรักอย่างหนึ่งที่สำคัญ และยิ่งในสถานการณ์ที่มีคู่แข่งเพื่อเอาชนะใจฝ่ายหญิงด้วยแล้วละก็งานนี้ก็ต้องเหนื่อยกัน
4. อีกงานวิจัยหนึ่งที่มีนัยสำคัญเรื่องความสูงรวมอยู่ด้วยนั้นก็คือ จากการสำรวจในหลายๆประเทศระบุว่าผู้ชายที่มีรูปร่างสูงมักจะมีรายได้ที่มากกว่าผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่า เนื่องจากความสูงสามารถแสดงนัยยะสำคัญของพลังอำนาจและความเฉลียวฉลาดได้นั่นเอง
5. ความสำคัญของส่วนสูง คุณรู้หรือไม่ว่างานบางอาชีพนั้นจำเป็นต้องใช้ส่วนสูงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นักกีฬาเกือบทุกประเภท นายแบบ นางแบบ แอร์โฮสเตสหรือสจ๊วต มันจึงเปรียบ เสมือนกานแข่งขันอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ดังนั้นคนที่มีร่างกายสูงใหญ่จึงได้เปรียบมากกว่าในแข่งขัน และอีกหลายๆอาชีพถ้าคุณสังเกตดูก็จะเห็นว่ามีการกำหนดส่วนสูงมาตรฐาน เพื่อเป็นเกณฑ์ในการรับสมัครงานไว้แล้ว สาเหตุเป็นเพราะบุคลิกภาพที่ดีโดยรวมขอองค์กรนั่นเอง อย่างเช่น ถ้าเป็นสจ๊วตก็ต้องมีส่วนสูง 165 ซม.ขึ้นไป ส่วนแอร์โฮสเตสก็ต้องมี ส่วนสูง 160 ซม.ขึ้นไป แต่ถ้าจะเป็นนางแบบก็ต้องมีส่วนสูง 165 ซม.ขึ้นไปนะ ส่วนนายแบบก็จะอยู่ที่ประมาณ 175 ซม.ขึ้นไป
วิธีเพิ่มส่วนสูง
1. ออกกำลังกายเพิ่มความสูง หรือการออกกำลังกายที่ทำให้มีการยืดของร่างกายวันละประมาณ 30-60 นาที ไม่ว่าจะเป็น กระโดดเชือก บาสเกตบอล ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล หรือการออกกำลังกายในลักษณะห้อยโหนตัว (การโหนบาร์) เป็นต้น ก็ต่างมีส่วนในการเพิ่มความสูงทั้งนั้น ซึ่งค่อนข้างจะได้ผลดีมากเพราะการออกกำลังกายจะช่วยไปกระตุ้นการหลังของโกรทฮอร์โมนให้เพิ่มมากขึ้น
2. วิธีเพิ่มความสูง ด้วยการกระโดดเชือกให้ได้วันละ 30 นาที อาจจะแบ่งทำเป็นครั้งละ 5 นาทีแล้วพัก แต่ต้องทำให้ครบหรือมากกว่า 30 นาที (ไม่นับรวมเวลาพัก)
3. เพิ่มความสูง ด้วยการกระโดดสูงบ่อยๆ โดดให้สูงจากพื้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาจจะกระโดดอยู่กับที่ก็ได้ ซึ่งวิธีการโดดก็คือแบ่งเป็นเซทโดดครั้งละ 10 ที และทำมากกว่า 5 เซทขึ้นไป
4. การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรเน้นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เพราะวิตามินหลายๆชนิดมีส่วนในการเจริญเติบซึ่งก็จะช่วยเพิ่มความสูงไปด้วย ซึ่งจะขาดไม่ได้เลยก็คือการเน้นรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและมีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย และขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
5. วิธีเพิ่มความสูงของร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานให้ครบ 3 มื้อทุกๆวัน (เช้า กลางวัน เย็น)
6. เพิ่มส่วนสูง ด้วยการดื่มนมให้ได้วันละ 2 แก้ว หลังอาหาร(เช้าและก่อนนอน) เพราะนมอุดมไปด้วยแคลเซียมซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและกระดูก
7. นอนหลับอย่างพอเพียงและเป็นเวลา ไม่ควรนอนดึกเพราะฮอร์โมนที่ช่วยเรื่องความสูงอย่างโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในช่วงเที่ยงคืนถึงตีห้า และโกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมามากถ้าหากนอนหลับอย่างสนิท ในขณะที่การหลับๆตื่นๆจะทำให้โกรทฮอร์โมนหลังออกมาน้อยมาก 8. งดการดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่ด้วยถ้าเป็นไปได้ 9. ยืดส่วนสูง ด้วยเครื่องยืดกระดูก อีกตัวช่วยหนึ่งที่คุณอาจจะต้องลงทุนนิดนึงแต่มันก็ค่อนข้างจะได้ผล ซึ่งการทำงานของเครื่องนี้ก็คือการเพิ่มความสูงด้วยการยืดกระดูก ลำตัว และข้อต่อ ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่หรือช่องว่างมากขึ้น เหมือนกับการเล่นกีฬาอย่างบาสเกตบอล วอลเลย์บอล
10. การฉีดยาเพิ่มความสูง เป็นการฉีดโกรทฮอร์โมนเพิ่มความสูง หรือฮอร์โมนจีเอช (Growth hormone : GH) อันนี้ต้องระวังกันสักนิด เพราะพ่อแม่บางคนเข้าใจผิด ทั้งๆที่ลูกก็มีส่วนสูงเป็นปกติตามเกณฑ์ดีทุกอย่าง แต่อยากเพิ่มส่วนสูงให้ลูกอีกเพราะอยากให้ลูกเป็นนายแบบ นางแบบ หรือดารา ต้องหยุดความคิดไว้ก่อน เพราะถ้าหากลูกของคุณไม่ได้ขาดฮอร์โมนชนิดนี้ แล้วการที่ฉีดเพิ่มเข้าไปจะกลับกลายเป็นผลเสียซะมากกว่า อย่างเช่น ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง การฉีดไปนานๆ อาจทำให้เด็กป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคกระดูก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เป็นต้น
11. การรับประทานผลิตภัณฑ์โกรทฮอร์โมนเสริมอาหาร อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเห็นผลมากน้อยเพียงใด แต่ไม่แนะนำเนื่องจากฮอร์โมนทุกชนิดอาจถูกย่อยสลายในกระเพาะ
12. โคลอสตรุ้มเพิ่มความสูง (Colostrum) หรือ น้ำนมเหลืองจากแม่วัว ที่หลังออกมาในช่วงวันแรกหลังการคลอด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความสูงได้โดยไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความสูงโดย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม วิตามินดี ในปริมาณที่เหมาะสม
13. การผ่าตัดเพื่อเพิ่มความสูง เป็นการผ่าตัดยืดกระดูก ที่บริเวณขา หน้าแข้ง แล้ววางยาสลบและใส่เครื่องยืดกระดูก แล้วยิงลวดตัดผ่านเข้าชั้นกระดูก เพื่อแยกกระดูกออกจากกัน และยึดลวดด้านบนและล่างเพื่อยึดเครื่องมือที่ใช้ยืดกระดูกที่ตัดออกจากกันวันละ 1 มิลลิเมตร ซึ่งตามทฤษฎีแล้วสามารถเพิ่มความสูงได้มากถึง 5 ซม. แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือมีความเสี่ยงหลายประการ เช่น กระดูกที่ได้จากการเชื่อมต่ออาจจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ใช้ระยะเวลาในการรักษานานเป็นปี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด ภาวะที่กระดูกไม่ติดกัน กระดูกเบี้ยว ไม่ตรงเหมือนเดิม เสี่ยงเป็นอัมพาต และภาวะติดเชื่อซึ่งจะรักษายากมาก ถ้าติดเชื้อรุนแรงอาจจะต้องตัดขาได้เลย แถมมีค่าใช้จ่ายในการ รักษาก็เป็นล้าน วิธีนี้จึงไม่ขอแนะนำ
14. เทคนิคเพิ่มส่วนสูง แบบเห็นผลทันที (หลอกๆ นะ) ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะใส่ส้นสูงกันซะส่วนมาก แล้วถ้าเป็นผู้ชายละจะทำยังไง? นั้นก็คือ... แผ่นรองส้นเพิ่มความสูง ที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ผสมกับโฟม มีความยืดหยุ่น สามารถสลับไปใส่กับรองเท้าคู่อื่นๆก็ได้ และสามารถถอดออกมาซักได้ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความสูงได้ตั้งแต่ 3.5 - 10 ซม.เลยทีเดียว
15. วิธีการเพิ่มความสูงสำหรับทุกวัย (เลยแล้ววัยก็ทำได้) โดยจะช่วยเพิ่มความสูงได้ประมาณ 1 ซม. โดยต้องทำวันละ 1 นาที ซึ่งเป็นเทคนิคจากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น โดยวิธีการง่ายๆก็คือ ให้นั่งขุกเข่า แล้วโน้มตัวไปด้านหลังจนนอนราบ ส่วนแขนก็ยืดขึ้นด้านบนราบกับพื้น และค้างไว้ทานี้ประมาณ 1 นาที ซึ่งจะช่วยให้กระดูกที่งอหรือคดตามกาลเวลาให้กลับมาอยู่ในแนวตรงเหมือนเดิม ผลที่ได้ก็คือจะได้ความสูงตามความจริงของเรากลับมานั่นเอง
16. วิธีเพิ่มความสูงด้วยตัวเอง ข้อสุดท้ายสำคัญมากๆ คือ "ความสม่ำเสมอ" และ "ความสม่ำเสมอ" ถ้าขาดข้อนี้ไปก็คงไม่ได้ผล
วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556
โคอะลา
กลายเป็นกระแสที่ฮิตกันมากตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่ออยู่ๆ ในสังคมออนไลน์ ก็มีการแชร์ภาพ แชร์คลิป ที่มีคนบอกว่า หาก ทำการเขย่าถุง ขนมปังกรอบสอดไส้ ยี่ห้อ "โคอะลา มาร์ช" (KOALA′S MARCH) ให้ครบ ทั้งหมด 5,000 ครั้ง
ครั้นเปิดถุงขนมมา จากขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่เดิมเราจะเห็น เป็นรูปตัว หมีโคอะลา รูปหน้าสื่ออารมณ์ต่างๆ แต่งตัวหลากหลาย จะหลอมรวมกันจนกลายเป็น "ช็อคบอล"
เมื่อแชร์กันซะสนั่นเน็ตขนาดนี้ มีหรือ ชาวไซเบอร์ชาวไทย ผู้แสวงหาความแปลกใหม่กับให้กับรสชาติชีวิตทั้งหลาย จะไม่ลอง พิสูจน์ ทฤษฎี" เขย่า"โคอะลา มาร์ช" ตาม
และแล้ว ก็มีผู้ทำการทดลอง และปรากฎกว่า กลายเป็น "ช็อคบอล" จริงๆด้วย
เทรนด์ เขย่า "โคอะล่า มาร์ช" แพร่หลายไปตามกำลังแชร์ของพลังโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทั้ง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมถึงยูทูบ
ใครเขย่าเป็นผลสำเร็จ และเปิดห่อออกมา เป็นช็อคบอลจริงๆ ก็อัพรูปภาพ อวดความภาคภูมิใจกันยกใหญ่
ที่มาของ การเกิดปรากฎการณ์ "เขย่า "โคอะลา มาร์ช" นั้น สืบเนื่องจากคลิป Lotte Koala บิสกิต 5000 กลับซุปเปอร์ Shake จากประเทศจีน ที่เผยแพร่เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ผ่าน youtube ซึ่งเป็นการทดสอบวิทยาศาสตร์ ด้วยการสาธิตเขย่าเจ้า ขนมปังกรอบสอดไว้ที่ว่านี้ แบบมาราธอน ถึง 5,000 รอบ ก็จะได้ช็อคบอล 1 ลูก
เทรนด์ เขย่าโคอะลา มาร์ช ยังคงถูกอัพโหลด แชร์ส่งต่อกันอย่างหลากหลาย ในโลกออนไลน์ และผู้ที่ได้ประโยชน์ รับทรัพย์ กับยอดซื้อ ที่ถูกกระตุ้นพุ่งพรวดไปเต็มๆ ก็เห็นจะเป็นทาง "บริษัทไทยลอตเต้ จำกัด" ผู้ผลิตและจำหน่าย เจ้าขนมน้องหมี "โคอะล่า" นี่ล่ะ
เพราะได้ข่าวว่า ตามร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย มีวัยรุ่น และไม่รุ่น ไปกว้านซื้อเจ้าขนมยี่ห้อนี้ มาทำการทดลอง กันอย่างสนุกสนาน...และขายหมดเกลี้ยง ทั้ง 3 รส ไม่ว่าจะช็อคโกแล็ต สตอเบอร์รี่ หรือครีมมี มิลค์
โคอะลา มาร์ช เขย่าหมี ให้เป็น ช็อคบอล
กลายเป็นกระแสที่ฮิตกันมากตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่ออยู่ๆ ในสังคมออนไลน์ ก็มีการแชร์ภาพ แชร์คลิป ที่มีคนบอกว่า หาก ทำการเขย่าถุง ขนมปังกรอบสอดไส้ ยี่ห้อ "โคอะลา มาร์ช" (KOALA′S MARCH) ให้ครบ ทั้งหมด 5,000 ครั้ง
ครั้นเปิดถุงขนมมา จากขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่เดิมเราจะเห็น เป็นรูปตัว หมีโคอะลา รูปหน้าสื่ออารมณ์ต่างๆ แต่งตัวหลากหลาย จะหลอมรวมกันจนกลายเป็น "ช็อคบอล"
เมื่อแชร์กันซะสนั่นเน็ตขนาดนี้ มีหรือ ชาวไซเบอร์ชาวไทย ผู้แสวงหาความแปลกใหม่กับให้กับรสชาติชีวิตทั้งหลาย จะไม่ลอง พิสูจน์ ทฤษฎี" เขย่า"โคอะลา มาร์ช" ตาม
และแล้ว ก็มีผู้ทำการทดลอง และปรากฎกว่า กลายเป็น "ช็อคบอล" จริงๆด้วย
เทรนด์ เขย่า "โคอะล่า มาร์ช" แพร่หลายไปตามกำลังแชร์ของพลังโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทั้ง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมถึงยูทูบ
ใครเขย่าเป็นผลสำเร็จ และเปิดห่อออกมา เป็นช็อคบอลจริงๆ ก็อัพรูปภาพ อวดความภาคภูมิใจกันยกใหญ่
ที่มาของ การเกิดปรากฎการณ์ "เขย่า "โคอะลา มาร์ช" นั้น สืบเนื่องจากคลิป Lotte Koala บิสกิต 5000 กลับซุปเปอร์ Shake จากประเทศจีน ที่เผยแพร่เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ผ่าน youtube ซึ่งเป็นการทดสอบวิทยาศาสตร์ ด้วยการสาธิตเขย่าเจ้า ขนมปังกรอบสอดไว้ที่ว่านี้ แบบมาราธอน ถึง 5,000 รอบ ก็จะได้ช็อคบอล 1 ลูก
เทรนด์ เขย่าโคอะลา มาร์ช ยังคงถูกอัพโหลด แชร์ส่งต่อกันอย่างหลากหลาย ในโลกออนไลน์ และผู้ที่ได้ประโยชน์ รับทรัพย์ กับยอดซื้อ ที่ถูกกระตุ้นพุ่งพรวดไปเต็มๆ ก็เห็นจะเป็นทาง "บริษัทไทยลอตเต้ จำกัด" ผู้ผลิตและจำหน่าย เจ้าขนมน้องหมี "โคอะล่า" นี่ล่ะ
เพราะได้ข่าวว่า ตามร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย มีวัยรุ่น และไม่รุ่น ไปกว้านซื้อเจ้าขนมยี่ห้อนี้ มาทำการทดลอง กันอย่างสนุกสนาน...และขายหมดเกลี้ยง ทั้ง 3 รส ไม่ว่าจะช็อคโกแล็ต สตอเบอร์รี่ หรือครีมมี มิลค์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)