วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทูน่า



ฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะร้านซูชิทั้งหลายก็ยังคงปั้นมากุโร่ขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสั

 แถมบางร้านยังมีโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ราคาสุดเวอร์แต่กินไม่อั้นซะด้วย ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ไม่น่าจะมีวี่แววอะไรที่บ่งบอกว่า "ทูน่า" กำลังจะหายไปจากโลกเลยสักนิด แต่จริงแล้วมันจะเป็นแบบที่เราเข้าใจหรือเปล่า?
 
นับ เป็นความพิเศษเหนือปลาชนิดใดในโลก เพราะปลาทูน่านั้นมีระบบหมุนเวียนเลือดแบบสัตว์เลือดอุ่น จึงทำให้ร่างกายของมันมีปริมาณฮีโมโกลบินสูงกว่าปลาชนิดอื่น จนทำให้เนื้อของมันกลายเป็นสีแดง และจากการที่พวกมันสามารถโลดแล่นไปได้ทั้งในเขตอาร์กติกและโลกเขตร้อน ทำให้ปลาทูน่านั้นต้องมีการสะสมไขมันเพื่อการเดินทาง และนั่นเป็นการนำภัยอันใหญ่หลวงมาสู่ตัวมันเอง
จากข้อมูลในนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ เดือนเมษายน ปี 2006 ได้รายงานปริมาณการบริโภคปลาทูน่าที่เพิ่มจากไม่ถึง 1 ล้านเมตริกตัน เป็น 6 ล้านเมตริกตัน ในช่วงปี 1950 - 2004 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดซูชิและอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกที่โหยหาการ บริโภคเนื้อแดงและเนื้อติดมันของปลาทูน่า ที่ไม่เพียงราคาแพงเท่านั้น 

แต่ยังมีเฉพาะในปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไปอีกด้วย
 
แม้จะยังมีปลาทูน่าให้จับ แต่ใช่ว่าจะสามารถจับได้ตลอดไป จากข้อมูลของ World Wildlife Fund (WWF) หรือ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ได้รายงานว่า หากยังมีการทำประมงปลาทูน่าอย่าเช่นทุกวันนี้ และไม่มีการออกระเบียบการทำประมงเพื่อคุ้มครองปลาทูน่าที่เข้มงวดกว่าที่ เป็นอยู่ ในอีก 50 ปีข้างหน้า โลกอาจต้องจารึกให้ปลาทูน่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่หายไปเพราะมนุษย์
 
ปัจจุบัน การทำประมงปลาทูน่าพุ่งเป้าไปที่ปลาทูน่าขนาดใหญ่ คือ ปลาทูน่าครีบเหลือง และปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ต่างเป็นปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่เคยมีชุกชุมและพบได้ทั่วไปใน เกือบทุกมหาสมุทรทั่วโลก แต่หลังจากเทคโนโลยีด้านการประมงมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และมนุษย์สามารถก้าวเข้าไปในทะเลได้มากขึ้น ทำให้ปริมาณทูน่าทั้งสองสายพันธุ์มาถึงจุดวิกฤติและนำไปสู่การทำฟาร์มปลาทูน่า

ต่าง จากการทำฟาร์มปลาแซลมอน เพราะปลาทูน่าส่วนใหญ่ที่นำมาเลี้ยงในระบบฟาร์มนั้น ไม่ได้เกิดจากการเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ แต่เป็นการกวาดต้อนฝูงปลาทูน่าในมหาสมทุรเปิด เพื่อนำมาขุนจนอ้วนด้วยอาหารที่ทางฟาร์มเป็นผู้กำหนดเอง ซึ่งแปลว่าอาหารจากฟาร์มบางแห่งไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติของปลาทูน่า
 
จากข้อมูลของนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ เดิมได้พูดถึงการทำฟาร์มปลาทูน่าในช่วง 10 ปีก่อนว่าอาหารส่วนใหญ่ที่ใช้ขุนปลาทูน่านั้นเป็นอาหารสดเช่น ปลาซาร์ดีนและหมึก แต่ในระยะหลังได้มีการปรับสูตรอาหารสำหรับขุนปลาขึ้นมาใหม่โดยในเนื้อปลาผสม แป้งข้าวโพดในอัตรา 1:1 สำหรับขุนปลาในระยะแรกเพื่อทำให้ปลาทูน่าอ้วนและสะสมไขมันปริมาณมากในระยะ เวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นเกรดที่สามารถเรียกราคาจากตลาดซูชิและอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

จาก ระบบการทำฟาร์ม อาจทำให้มนุษย์มีปลาทูน่าปริมาณมากไว้บริโภคได้ตลอดทั้งปีในราคาที่ถูกลง แต่นั่นไม่ได้หมายความปริมาณปลาในธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นการเร่งขบวนการสูญพันธุ์ของทูน่าให้เร็วยิ่งขึ้น 

เพราะ ปลาอ้วนๆ เหล่านี้มักถูกส่งไปขายก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์ เมื่อบวกกับปริมาณปลาในธรรมชาติที่เหลือน้อยเต็มที ทำให้โอกาสที่ประชากรทูน่าจะกลับมานั้นเป็นไปได้ยาก

10 ศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ออกเสียงผิดบ่อย




สังเกตว่าสิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือการสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจ

ถ้า เราไม่สามารถออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องได้แล้ว จะเอามารวมเป็นประโยคให้ถูกต้องได้ยังไงจริงไหม ในบทความชุด “10 ศัพท์ภาษาอังกฤษสุดฮิต คนไทยออกเสียงผิดบ่อย” วันนี้ รวบรวมคำศัพท์ที่เราออกเสียงผิดบ่อย ซึ่งจะมาจากประสบการณ์ตรงบ้าง หนังสือ หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง เรามาดูกันเลย

10 ศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่คนไทยออกเสียงผิดบ่อย

1. salmon (n.) แซ-เมิน

Species of edible marine fish that spawns in freshwater and has tender pinkish flesh

ปลาแซลมอน

สำหรับ คนที่รักการกินซูชิ ย่อมต้องเคยลิ้มลองปลาแซลมอนแน่นอน แต่ฝรั่งเค้ากลับอ่านคำนี้ว่า แซ-เมิน ซะงั้น ทำเอาผมเข้าใจผิดมาเป็นสิบๆปีเลยนะเนี่ย กับคนไทยสั่งปลาแซลมอนได้ไม่เป็นไร แต่กับฝรั่งถ้าตัดเสียง l ออกไปคงจะดีไม่น้อยนะครับ

2. comfortable (adj.) คั๊มฟ-ทะเบิล

Providing physical comfort; easy; relaxing

ความสะดวกสบาย

ตอน เป็นเด็กผมชอบอ่านคำนี้ว่า คอม-ฟ้อร์ท(เสียงสูง)-เทเบิล แต่เพิ่งมารู้ว่ามันผิด ผิดตรงการเน้นเสียงนี่แหละ เราจะไปเน้นที่พยางค์สองของคำ  ซึ่งจริงๆแล้วต้องออกเสียง ฟึ่ท สั้นๆหลังพยางค์แรก กลายเป็น คั๊มฟ-ทะเบิล แทน

3. effect (n., v.) อิ-เฟ็คท์

Something brought about by a cause or agent; a result

ผลกระทบ ผลลัพธ์

สำหรับ ศัพท์ภาษาอังกฤษตัวนี้เราจะอ่านผิดบ่อยมาก เพราะดันไปยึดติดกับคำว่า special effect สเปเชียล เอฟเฟ็คท์ พอเจอคำนี้เข้าไปก็อ่านว่า เอฟเฟ็คท์ กันถ้วนหน้าเชียว คำอ่านที่ถูกต้องจริงๆคือ อิ-เฟ็คท์ ครับ ออกเสียง f แค่ตัวเดียวพอ อ่านเร็ว เน้นพยางค์หลังด้วยนะ

4. etc. (abbr.) เอ็ท-เซเทอรา

And so on, and so forth, and the rest

และอื่นๆ

มอง แวบแรกอย่าไปคิดว่า etc. เป็นชื่อวงดนตรีเชียวนะครับ จริงๆแล้วมันย่อมาจากคำว่า et cetera เป็นภาษา Latin ที่หมายถึง และอื่นๆอีกมากมาย ที่เรามักเห็นตอนท้ายประโยคเหมือนกับ ฯลฯ ของภาษาไทยนั่นเอง

จากประสบการณ์พรีเซ้นท์งานภาษา อังกฤษในห้องเรียน เคยมีกลุ่มหนึ่งทำสไลด์แล้วใช้คำว่า etc. แต่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไง บางคนก็ข้ามไปเลย และมีคนนึงอ่านว่า อีทีซี เฉยเลย ที่ถูกคือ เอ็ท-เซเทอรา ต้องอ่านให้เร็วนิดนึงนะครับ ฝรั่งเค้าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

5. island (n.) ไอ-เลินด์

Piece of land completely surrounded by water; raised area or a platform set aside for some specific purpose

เกาะ

ผม ว่าคนส่วนมากต้องเคยอ่านคำนี้ผิดบ้างแหละ จะอ่านว่า ไอซ์-แลนด์ หรือ อิส-แลนด์ ก็ตามแต่ คำนี้เราจะไม่ออกเสียงตัว s นะครับ ให้อ่านว่า ไอ-เลินด์ ไปเลย ขืนอ่านผิดๆคนฟังจะเข้าใจว่าเราหมายถึงประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) ไปโน่น จะว่าไปแล้ว Iceland ก็ถือเป็นเกาะๆหนึ่ง เป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในยุโรปเลย

ว่าแต่ว่าแปลกดีนะครับที่ ประเทศ Iceland มีทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด ขณะที่ประเทศ Greenland กลับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งนะเนี่ย :)

greenland-iceland

6. jewelry (n.) จูวล์-รี่

Ornaments for personal adornment made of precious metals or set with gemstones

เครื่องเพชรพลอย

ตาม ร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆมักลงท้ายด้วยคำว่า จิวเวลรี่ โอเคครับเห็นคำนี้ปุ๊บเราทุกคนเข้าใจว่าเป็นร้านขายเครื่องเพชร แต่การอ่านออกเสียงนี่คนละเรื่องเลย ต้องพูดว่า จูวล์-รี่ ถึงจะถูก ไม่ต้องยืดยาวยึง 3 พยางค์แบบนั้น

7. leopard (n.) เล็พ-เพิร์ด

Panther, large member of the cat family having either tawny spotted fur or black fur

เสือดาว

ผม มีโอกาสไปฟังบรรยายเทคนิคการใช้งานภาษาอังกฤษโดยคุณ Christopher Wright และในวันนั้นที่จำได้ขึ้นใจเลยคือคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราชอบออกเสียงผิด บ่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ leopard ที่เราอ่านตรงๆเลยว่า ลีโอ-พ้าร์ด หารู้ไม่ว่าคำนี้ไม่ต้องออกเสียงตัว o อ่านสั้นๆง่ายๆว่า เล็พ-เพิร์ด  ก็พอ

8. chaos (n.) เค-อ็อส

Total lack of order, confusion, mess, disorder

ความสับสน วุ่นวาย

หลายๆ คนพอเห็นตัว ch ก็พากันออกเสียงว่า ชา-ออส กันถ้วนหน้า ผมเองสมัยยังเด็ก ชอบเล่นเกมส์ DotA ก็จะมีตัวละครหนึ่งชื่อว่า Chaos Knight เพื่อนๆก็เรียกว่า ชาออสไนท์ กันถ้วนหน้า เอาก็เอาวะ ชาออสไนท์ก็ได้ บางคนถึงกับอ่านว่า “เช้าส์” เลยทีเดียว แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่า เค-อ็อส ถึงจะถูกต้องนะ

9. sword (n.) ซอร์ด

Weapon consisting of a long straight or curved blade fixed to a hilt

ดาบ

มา อีกแล้วคำในตำนานสำหรับนักเล่นเกมส์ทั้งหลาย ใครเกิดทันเกมส์ Ragnarok บ้างเอ่ย คงคุ้นเคยกับอาชีพนักดาบ สะ-หวอด-แมน (swordsman) กันดีทุกคน แต่ถ้าจะอ่านให้ถูกจริงๆ คำจำพวก sword ให้ตัดเสียง w ออกไปได้เลยครับ อ่านเป็น ซอร์ด ง่ายขึ้นเยอะใช่มั้ยล่ะ

10. value (n., v.) แฟ-ลิ่ว

Prize, esteem, cherish; assess, estimate, appraise

คุณค่า ประเมิณค่า ให้ความสำคัญ

ขอ ปิดท้ายด้วยคำศัพท์ที่เสียงอ่านไม่เหมือนกับคำที่เห็นเอาซะเลย อย่าว่าแต่นักศึกษาเลยครับ แม้แต่อาจารย์ยังอ่านว่า แวลู่ ซึ่งก็โอเค ถ้าสื่อความหมายให้คนไทยด้วยกันเข้าใจได้ แต่สำหรับฝรั่งขืนอ่านแบบนี้มีงงแน่นอน ต้องอ่านว่า แฟ-ลิ่ว ออกจะกระดากปากไปบ้าง แรกๆผมเองก็ไม่ชิน แต่เพื่อความถูกต้องก็ต้องอดทน

โอริโอ้


โอริโอ้” คุกกี้ช็อกโกแลตที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในโลก ได้ฉลองอายุครบรอบ 100 ปีไปเมืื่อวันที่ 6 มีนาคมที่่ผ่านมา โดยโอริโอ้ได้ถือกำเนิดในปี 1912 ภายใต้การผลิตของบริษัท เนชันแนล บิสกิต คอมปานี หรือ”นาบิสโก” โดยได้จำหน่ายแซนวิชคุกกี้ที่ร้านค้าปลีก “S.C. Thuesen” ที่เมืองโฮโบเกน รัฐนิวเจอร์ซีเป็นที่แรก

โอริโอ ถูกผลิตผลิตออกมาเพื่อมาสู้กับบิสกิตที่มีลักษณะคล้ายกันจากประเทสอังกฤษ แล้วค่อย ๆ พัฒนาต่อมาจนโอรีโอกลายเป็นแซนวิชคุกกี้ที่ขายดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 โดยทำยอดขายทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ แต่เดิมคุ้กกี้ยี่ห้อนี้มีรูปร่างนูน โดยขายในราคา 25 เซ็นต์/ปอนด์ บรรจุในกระป๋องสังกะสีที่มีฝาเป็นแก้วให้มองเห็นของข้างในได้ และได้เปลี่ยนชื่อเรียกเรื่อยมาหลายชื่อ เช่น “โอริโอ แซนด์วิช” (Oreo Sandwich) ในปี 1921, “โอริโอ ครีม” (Oreo Creme Sandwich) ในปี 1948, “โอริโอ ช็อคโกแลต แซนด์วิช คุกกี้” (Oreo Chocolate Sandwich Cookies) ในปี 1974 และเปลี่ยนเป็น โอริโอ้ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าจะเปลี่ยนมาหลายชื่อ แต่โอริโอ้ยังคงใช้สโลแกนเดิมคือ “บิด ชิมครีม จุ่มนม” (twist, lick and dunk)
แม้ว่าโอริโอ้จะเป็นขนมจานโปรดของใครหลายคน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า โอริโอ้นั้นมีความลับซ่อนอยูู่อีกมากมาย อย่างน้อยก็คงเป็นความลับ 9 ข้อนี้ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. “โอริโอ” มีชื่อที่ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครสามารถยืนยันที่มาได้แน่ชัด บ้างก็เชื่อว่ามาจากคำว่า “Or” ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า”ทอง” หรือมาจากแพ็คเกจที่แต่เดิมส่วนใหญ่เป็นสีทอง บ้างก็คาดเดาไปไกลว่าเพี้ยนมาจากภาษากรีก “βουνό” ที่แปลว่า”ภูเขา” อาจเนื่องจากในช่วงทดลอง โอริโอจะมีรูปร่างขายภูเขาขนาดย่อม
2. ร้อยละ 71 ต่อ 29 คือสัดส่วนของเนื้อคุกกี้และครีม ของคุกกี้โอริโอ้สูตรดั้งเดิม

3. โอริโอได้รับอนุญาตให้เป็น “โคเชอร์” หรืออาหารที่สอดคล้องกับหลักศาสนาที่ชาวยิวสามารถรับประทานได้ เมื่อปี 1998 (โคเชอร์ ในภาษาฮีบรูว์ แปลว่า “สะอาด” หรือ “เหมาะสม” หรือ “เป็นที่ยอมรับ”) โดยจะมีเครื่องหมายดังกล่าวอยู่เหนือข้อมูลน้ำหนักของผลิตภัณฑ์
4. หนึ่งในส่วนผสมดั้งเดิมของครีมรสชาติเข้มข้นของโอริโอ้คือ Trans fat หรือที่เรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า Trans Fatty Acid หรือมีชื่อเล่นว่า “ไขมันหมู” ต่อมาจึงมีการยกเลิก หลังจากมีการค้นพบว่าการรับประทานกรดไขมันชนิดนี้เป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับคอเลสเตอร์รอลในเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด
5. หากนำโอริโอ้เท่าที่มีการผลิตขึ้นมามาวางรอบโลก จะสามารถวางได้ถึง 381 รอบ เมื่อนำขนมทุกชิ้นมาต่อกันในแนวเส้นศูนย์สูตร หรือหากวางในแนวตั้ง จะมีระยะทางเท่ากับการไป-กลับดวงจันทร์ได้ถึง 5 รอบ
6. ในปี 1912 โอริโอ้ได้ผลิตออกมา 2 ไส้ คือ เมอแรงมะนาว และ ครีม ก่อนดีไซน์ใหม่ของโอรีโอ้จะเกิดขึ้นในปี 1916 และได้หยุดผลิตไส้เมอแรงมะนาวที่ขายสู้ไส้ครีมไม่ได้ในช่วงปี 1920 การออกแบบใหม่เกิดขึ้นในปี 1952 โดยรวมยี่ห้อของนาบิสโก ไว้บนคุ้กกี้ด้วย ปัจจุบันโอรีโอ้ถูกผลิตออกมาในรูปแบบต่าง ๆ กว่า 40 ชนิด

7. โอริโอ้มีวางจำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่มียอดขายสูงสุดตามลำดับได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, เวเนซุเอลา, แคนาดา และอินโดนีเซีย ในบางประเทศเช่นจีน “คราฟท์ ฟู้ด” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของนาบิสโก ได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรเล็กน้อยเพื่อให้ถูกใจผู้บริโภค
8. มีการผลิตโอริโอ้รสชาติพิเศษ รุ่น “ลิมิเต็ด เอดิชัน” เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปี โดยใช้ชื่อว่า “เบิร์ธเดย์ เค้ก โอริโอ” ที่จะมีไส้ที่มีลักษณะคล้ายขนมเค้ก
9. 450,000 ล้านชิ้น คือจำนวนที่โอริโอ้ถูกวางจำหน่ายทั่วโลก นับตั้งแต่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1912 จนถึงปัจจุบัน