| 
 
  
ฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะร้านซูชิทั้งหลายก็ยังคงปั้นมากุโร่ขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน 
  
 แถมบางร้านยังมีโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ราคาสุดเวอร์แต่กินไม่อั้นซะด้วย ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ไม่น่าจะมีวี่แววอะไรที่บ่งบอกว่า "ทูน่า" กำลังจะหายไปจากโลกเลยสักนิด แต่จริงแล้วมันจะเป็นแบบที่เราเข้าใจหรือเปล่า? 
  
นับ
เป็นความพิเศษเหนือปลาชนิดใดในโลก 
เพราะปลาทูน่านั้นมีระบบหมุนเวียนเลือดแบบสัตว์เลือดอุ่น 
จึงทำให้ร่างกายของมันมีปริมาณฮีโมโกลบินสูงกว่าปลาชนิดอื่น 
จนทำให้เนื้อของมันกลายเป็นสีแดง 
และจากการที่พวกมันสามารถโลดแล่นไปได้ทั้งในเขตอาร์กติกและโลกเขตร้อน 
ทำให้ปลาทูน่านั้นต้องมีการสะสมไขมันเพื่อการเดินทาง 
และนั่นเป็นการนำภัยอันใหญ่หลวงมาสู่ตัวมันเอง 
จากข้อมูลในนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ
เดือนเมษายน ปี 2006 ได้รายงานปริมาณการบริโภคปลาทูน่าที่เพิ่มจากไม่ถึง 1 
ล้านเมตริกตัน เป็น 6 ล้านเมตริกตัน ในช่วงปี 1950 - 2004 
และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดซูชิและอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกที่โหยหาการ
บริโภคเนื้อแดงและเนื้อติดมันของปลาทูน่า ที่ไม่เพียงราคาแพงเท่านั้น  
  
แต่ยังมีเฉพาะในปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไปอีกด้วย 
  
แม้จะยังมีปลาทูน่าให้จับ แต่ใช่ว่าจะสามารถจับได้ตลอดไป จากข้อมูลของ World Wildlife Fund (WWF) หรือ
 องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ได้รายงานว่า 
หากยังมีการทำประมงปลาทูน่าอย่าเช่นทุกวันนี้ 
และไม่มีการออกระเบียบการทำประมงเพื่อคุ้มครองปลาทูน่าที่เข้มงวดกว่าที่
เป็นอยู่ ในอีก 50 ปีข้างหน้า 
โลกอาจต้องจารึกให้ปลาทูน่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่หายไปเพราะมนุษย์ 
  
ปัจจุบัน
การทำประมงปลาทูน่าพุ่งเป้าไปที่ปลาทูน่าขนาดใหญ่ คือ ปลาทูน่าครีบเหลือง 
และปลาทูน่าครีบน้ำเงิน 
ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ต่างเป็นปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่เคยมีชุกชุมและพบได้ทั่วไปใน
เกือบทุกมหาสมุทรทั่วโลก 
แต่หลังจากเทคโนโลยีด้านการประมงมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และมนุษย์สามารถก้าวเข้าไปในทะเลได้มากขึ้น ทำให้ปริมาณทูน่าทั้งสองสายพันธุ์มาถึงจุดวิกฤติและนำไปสู่การทำฟาร์มปลาทูน่า 
  
ต่าง
จากการทำฟาร์มปลาแซลมอน เพราะปลาทูน่าส่วนใหญ่ที่นำมาเลี้ยงในระบบฟาร์มนั้น
 ไม่ได้เกิดจากการเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ 
แต่เป็นการกวาดต้อนฝูงปลาทูน่าในมหาสมทุรเปิด 
เพื่อนำมาขุนจนอ้วนด้วยอาหารที่ทางฟาร์มเป็นผู้กำหนดเอง 
ซึ่งแปลว่าอาหารจากฟาร์มบางแห่งไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติของปลาทูน่า 
  
จากข้อมูลของนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ
เดิมได้พูดถึงการทำฟาร์มปลาทูน่าในช่วง 10 
ปีก่อนว่าอาหารส่วนใหญ่ที่ใช้ขุนปลาทูน่านั้นเป็นอาหารสดเช่น 
ปลาซาร์ดีนและหมึก 
แต่ในระยะหลังได้มีการปรับสูตรอาหารสำหรับขุนปลาขึ้นมาใหม่โดยในเนื้อปลาผสม
แป้งข้าวโพดในอัตรา 1:1 
สำหรับขุนปลาในระยะแรกเพื่อทำให้ปลาทูน่าอ้วนและสะสมไขมันปริมาณมากในระยะ
เวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นเกรดที่สามารถเรียกราคาจากตลาดซูชิและอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี 
  
จาก
ระบบการทำฟาร์ม 
อาจทำให้มนุษย์มีปลาทูน่าปริมาณมากไว้บริโภคได้ตลอดทั้งปีในราคาที่ถูกลง 
แต่นั่นไม่ได้หมายความปริมาณปลาในธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นการเร่งขบวนการสูญพันธุ์ของทูน่าให้เร็วยิ่งขึ้น  
  
เพราะ
ปลาอ้วนๆ เหล่านี้มักถูกส่งไปขายก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์ 
เมื่อบวกกับปริมาณปลาในธรรมชาติที่เหลือน้อยเต็มที 
ทำให้โอกาสที่ประชากรทูน่าจะกลับมานั้นเป็นไปได้ยาก 
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น