วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กระดาษห่อของขวัญ นำมาปลูกผักสดๆได้

นวัตกรรมแห่งปี "กระดาษห่อของขวัญ" นำมาปลูกผักสดๆได้






ทับทิม


ศัพท์บางคำในภาษาไทยนั้น อาจมีความหมายได้หลายอย่าง และความหมายที่ต่างกันนั้นมักมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "ทับทิม" หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2416 ให้ความหมายไว้ว่า...
"พลอยแดง : เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งดอกแดง ลูกกลมๆ กินดี : อนึ่งเป็นชื่อพลอยที่เขาทำหัวแหวนสีแดงๆ นั้น"
ชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมาซื้อพลอยแดงน้ำดีจากประเทศไทยที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ทับทิมสยาม" นั่นเอง
เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยกับทับทิมที่เป็นพลอยสีแดงมานาน เมื่อมีต้นไม้ต่างประเทศชนิดหนึ่ง ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทย และต้นไม้ชนิดนั้นมีเมล็ดซึ่งหุ้มด้วยเนื้อใสสีแดง มีเหลี่ยมมุมคล้ายพลอยสีแดง คนไทยจึงเรียกชื่อต้นไม้ต่างประเทศชนิดนั้นว่า "ทับทิม" ไปด้วย เพราะเป็นลักษณะเด่นที่จำได้ง่าย
หัวนอนปลายเท้าของต้นทับทิม
ต้นทับทิมมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum linn. ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate, สเปนเรียก Granada, อินเดียเรียก Darim, ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ฯลฯ
สันนิษฐานว่า ทับทิมมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบทวีปเอเชียตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปตอนใต้ และคงนิยมปลูกกันมานานหลายพันปีแล้ว จึงแพร่กระจายออกไปมากมาย ทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รวมทั้งทวีปแอฟริกา
ทับทิมเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 6-10 ฟุต ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตก ออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน มีทับทิมอีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ทับทิมหนู (Punica granatum Var.nana Pere) สูงเต็มที่ไม่เกิน 4 ฟุต มีดอกสีแดงดกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ความเชื่อและตำนาน
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งปวงและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติส (Attis) ขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือเทพแอตติสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่เคารพพระคเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย
ชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)
ในญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยปกป้องรักษาเด็กๆ ให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆ ได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง
ประโยชน์ด้านต่างๆ ของทับทิม
เมล็ดทับทิมมีเนื้อหุ้มใสสีแดงเข้มเป็นประกายนั้น มองดูคล้ายพลอยแดงน้ำดีที่เจียระไนแล้ว สมกับที่มีผู้ยกย่องทับทิมว่าเป็น "อัญมณีแห่งผลไม้" นอกจากความงดงามแล้ว รสชาติของทับทิมยังดีเยี่ยมอีกด้วย น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ซึ่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดด้วย เนื่องจากทับทิมเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติด้านสมุนไพรที่เด่นมากชนิดหนึ่ง สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนหลายกลุ่มมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวอียิปต์ และชาวฟีนีเซี่ยน เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ใช้ทับทิมเป็นสมุนไพร ต่อเนื่องมาถึงกลุ่มชนอื่นๆ เช่น
ชาวอาหรับ ใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ใช้ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด ใช้เปลือกผลทับทิม (ผสมกานพลูและฝิ่น) รักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย
ชาวฮินดู ใช้น้ำคั้นจากผลทับทิม และดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ แก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมแก้ท้องเสีย ใช้บำรุงหัวใจ
ชาวไทย ทับทิมทั้งต้นหรือทับทิมทั้ง 5 ; ใช้เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด
เปลือก ราก และเปลือกต้น ; ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด, ไส้เดือน, เส้นด้าย และฝาดสมาน
ใบ ; สมานแผล แก้ท้องร่วง อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก ; ใช้ห้ามเลือด
เปลือกผล ; สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง (มีแทนนิน) ร้อยละ 22-25
เนื้อหุ้มเมล็ด ; แก้กระหายน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด
น่า สังเกตว่า ชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ และผลทับทิมในประเทศไทยได้รับความนิยมน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่าพันธุ์ทับทิมที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมิใช่พันธุ์ที่ให้ผล คุณภาพดีเยี่ยมสำหรับการบริโภคเป็นผลไม้
หากชาวไทยนำพันธุ์ทับทิมคุณภาพดีเข้ามาปลูก หรือปรับปรุงพันธุ์ทับทิมของเราให้ดีเท่าเทียมกับพันธุ์คุณภาพดีที่มีอยู่ใน โลก เชื่อว่าคนไทยนิยมปลูกและบริโภคทับทิมไม่น้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เป็นแน่

5 ประโยชน์จากหัวหอม


ประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
มี หลักฐานว่ามีสารประกอบกำมะถัน ที่พบในหัวหอมนั้น สามารถต่อต้านการจับตัวกันของลิ่มเลือด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากำมะถัน สามารถลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์พร้อมทั้งปรับปรุงการทำ งานของเยื่อหุ้มเซลล์ในเซลล์เม็ดเลือดแดงได้เป็นอย่างดี โดยรวมขยายไปถึงการป้องกันโรคหัวใจวาย
ประโยชน์ต่อกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
การ ศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าหัวหอมจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก รวมไปถึงหญิงวัยหมดประจำเดือน ที่ต้องประสบปัญหาการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก และอาจจะสามารถลดความเสี่ยงของกระดูกสะโพกหัก กำมะถันปริมาณสูงในหัวหอม อาจก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เพราะกำมะถันมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
ประโยชน์ในการต่อต้านการอักเสบ
พืช ผักตระกูลหัวหอม กระเทียม ถือเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการอักเสบได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน สารต้านอนุมูลอิสระในหอมช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของกรดไขมัน ในร่างกาย
ประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็ง
หัว หอมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ , มะเร็งกล่องเสียง และโรคมะเร็งรังไข่ แม้ว่าจะไม่ชื่นชอบในรสชาติ แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงแค่ทานในปริมาณน้อยหรืออาจทานไม่บ่อยนัก ก็สามารถได้รับประโยชน์ในเรื่องของการป้อนกันโรคมะเร็งได้อย่างเต็มที่ เหมือนกัน
ประโยชน์ด้านสุขภาพอื่น ๆ
หัว หอมมีศักยภาพในการปรับปรุงความสมดุลของน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกำมะถันและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่พบในหัวหอมจะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย บางการศึกษาพบว่าหากหัวหอมได้สัมผัสกับไอน้ำเป็นเวลา 10 นาทีจะมีผลต่อคุณค่าทางสารอาหาร ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการจัดเก็บและการนำมาปรุงอาหาร

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 โมงครึ่ง คือชั่วเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟ


ผู้คนส่วนมากจะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่?!

ผู้ คนส่วนมากจะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ หากแต่ที่จริงแล้วคาเฟอีนในกาแฟจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้าบริโภคเวลา 10.30 น.

เว็บไซต์เดลิเมล์ ได้ให้ข้อมูลจาก สตีเว่น มิลเลอร์ นักประสาทวิทยาจากUniformed Services University of the Health Sciences (USUHS)
ในรัฐแมรี่แลนด์ ระบุว่า การดื่มกาแฟจะได้ผลดีที่สุด เมื่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายต่ำ ในช่วง 09.30-11.30 น. ซึ่งคาเฟอีนในกาแฟจะเข้ากับฮอร์โมนดังกล่าวได้ดี ส่วนระดับของคอร์ติซอลจะสูงในช่วง08.00-09.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการตื่นนอน และจะค่อยๆลดลงใน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น

ดังนั้น หากตื่นนอนในช่วง 9โมงเช้า ทิ้งระยะให้คอร์ติซอลลดระดับลงราว 1 ชั่วโมง ช่วงเวลาการดื่มกาแฟ นั่นคือเวลา 10โมงครึ่งพอดี
นอก จากนี้ระดับคอร์ติซอลจะสูงสุดในเวลาอาหารกลางวัน และเวลา 17.30-18.30 น. หมายความว่า ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะดื่มกาแฟ ถ้าดื่มเข้าไปประสิทธิภาพของคาเฟอีนจะไม่ช่วยให้ตื่นตัวเท่าใดนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่ว่า บางทีเมื่อดื่มกาแฟตอนเช้าตรู่แล้ว จะรู้สึกว่าต้องการกาแฟอีก หรือต้องการเพิ่มความเข้มของกาแฟ

ใครที่อยากได้รับพลังจากคาเฟอีนแบบเต็มประสิทธิภาพ ก็สามารถทำตามการศึกษานี้ได้เลย

4 จอร้าย ทำลายสุขภาพตา


วิถีชีวิตของคนยุคใหม่นับวันต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นยุค Gen S (Generation of Screen)

ซึ่งเป็นยุคโลกดิจิตอลที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว โดยเฉพาะ 4 จอที่ว่าได้แก่ จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ นับวันเรายิ่งถูกเทคโนโลยีเหล่านี้ผลักดันให้ใช้สายตามากขึ้นและนานขึ้น โดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำร้ายสุขภาพตาแบบไม่รู้ตัว

ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพสายตาของคนไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2550 ระบุว่า คนไทยไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน มีสายตาผิดปกติ

สาเหตุหลักมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อเป็นเวลานาน
และยังพบว่าใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว จึงทำให้เกิดอาการเมื่อยตา ตาแห้ง เคืองตา แสบตา แพ้แสง ตาพร่า ปวดตา ปวดศีรษะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาสายตา เช่น การทำงานกลางแจ้งนานๆ การอ่านหนังสือในที่มีแสงน้อย การสูบบุหรี่ เป็นต้น
ดัง นั้น ในแต่ละวันเราจึงควรหยุดพักและละสายตาจากจอต่างๆ เป็นระยะๆ เพื่อผ่อนคลายสายตา นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาและถนอมดวงตานั่นก็คือ

สาร ต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งมีวิตามินเอ ซี อี เบต้า-แคโรทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูล “เบอร์รี่”
ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอนเซนเบอร์รี่ ฮัคเคิลเบอร์รี่ เป็นต้น ทั้งนี้มีผลการวิจัยพบว่า สารแอนโธไซยานิน ในบิลเบอร์รี่ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยส์ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สูง

ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย และยังช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าจากการคร่ำเคร่งใช้สายตา ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนของเลือดในดวงตา
ส่วนผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่นๆ ก็พบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แบล็คเคอร์แรนต์
ช่วยให้ตารับภาพในเวลากลางคืนได้ดี แครนเบอร์รี่ ช่วยบำรุงสุขภาพตา โช้คเบอร์รี่ ช่วยการไหลเวียนของเลือดในตาให้ดีขึ้น อาซาอิเบอร์รี่ ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตา สตรอเบอร์รี่ ช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งบริเวณจอประสาทตามีเซลล์ประสาทสำหรับการรับภาพอยู่มาก
ดัง นั้น การเลือกรับประทานผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ หรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น จึงเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตา แต่ต้องมีปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม และอย่ารอที่จะดูแลและถนอมสุขภาพดวงตาของคุณ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของดวงตาที่สดใสไปได้นานๆ