วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ตรุษจีน 2555

             ปีใหม่สากลได้ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมกับการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่ง ใหญ่ในแต่ละประเทศ แต่อีกหนึ่งเทศกาลที่กำลังมาถึงนั้นก็คือ วันตรุษจีนซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนนั่นเอง เนื่องจากในประเทศไทยของเรานั้นมีชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยหรือทำธุรกิจอยู่ เป็นจำนวนมาก เทศกาลวันตรุษจีนจึงเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่เป็นที่นิยมและรู้จักของคนไทย และสำหรับวันตรุษจีน 2555 นี้ตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2555 ซึ่งชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือวันสำคัญอยู่สามวันคือ วันจ่าย วันไหว้ วันปีใหม่ ซึ่งวันไหว้ชาวไทยเชื้อสายจีนนั้นจะมีของไหว้ในวันตรุษจีนมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันและมีความหมายที่เป็นมงคลกับ ชีวิตทั้งสิ้น นอกจากการไว้เจ้าที่บ้านแล้วแล้ว ชาวไทยเชื้อสายจีน ยังนิยมทำการกราบไหว้เทพเจ้าองไท้ส่วย หรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา เพื่อเสริมดวงชะตา และหากใครเกิดในปีชงนั้นๆ ก็จะไปทำการแก้ชงที่วัดเพื่อปัดเป่าบรรเทาสิ่งชั่วร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ดวงชะตาของตน

ตรุษจีน นั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลอง ตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อน วันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น


วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้น มากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้าย ให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

 เมื่อ ถึง วันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อคำอวยพรวันปีใหม่กล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน โดยส่วนใหญ่คำอวยพรวันปีใหม่จะพูดว่า “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ” ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า “Let bygones be bygones” (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ใน วันตรุษ นี้อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืมและไม่สนใจ การฉลอง วันตรุษจีน สิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลอง วันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

ตำนานความเป็นมาของวันตรุษจีน





            ตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า กว้อชุนเจี๋ยหรือกว้อเหนียนเล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า เหนียน มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน ดังนั้น เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12 ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย
 ต่อ มาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกันเมื่อ เหนียน ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดังและไฟ ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก


เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุกๆ ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ใน วันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความ หมายที่เป็นมงคลในตัวของมัน
ความหมายของ ของไหว้วันตรุษจีน
     เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
     เกาลัดมีความหมายถึง เงิน
     ถั่วตัดหมายถึง แท่งเงิน
     สาหร่ายดำคำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
     เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้งคำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
     หน่อไม้คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข
เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่ง เป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์

 ของไหว้ตรุษจีน ขนมไหว้วันตรุษจีน
     1.ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์
     2.ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์
     3.ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต
     4.ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
     5.ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู
     6.ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค
     7.จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป
อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว
     ทาง ตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน
ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่
     วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว
     วันไหว้ คือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ

ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง

 ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว

 ตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล
     วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี (ชิวอิก) วันนี้ ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า กาซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น

ความเชื่อต่างๆใน วันตรุษจีน ที่ห้ามทำและที่นิยมทำกัน
วันตรุษจีน ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัยและคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา วันตรุษจีน ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
วัน ตรุษจีน ถ้าหากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่หรือ วันตรุษจีน คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน

การแต่งกายและความสะอาดใน วันตรุษจีน เราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วง เทศกาลวันตรุษจีน นี้สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี

วันตรุษจีน กับความเชื่ออื่น ๆ


1.สำหรับ คนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล

2.บุคคลแรกที่พบใน วันตรุษจีน และคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก
ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี


3.การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี การเข้าไปหาใครในห้องนอนใน วันตรุษจีน ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก

4.ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรใน วันตรุษจีน เพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี

ทุก วันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคง ยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียมและวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ของตน วันตรุษจีน 2555

ขอบคุณ ที่มาเนื้อหา จาก .thailawstation

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

Fête de La Chandeleur

Fête de La Chandeleur


วัน Chandeleur นั้น ว่ากันตามเรื่องก็เป็นการฉลองการแจ้งเกิด(ประสูติ)ของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าการแจ้งเกิดนั้นก็เนื่องมาจากในสมัยนั้น ตาม la loi de Moïse กำหนดให้ชาวยิวจะต้องนำบุตรที่เกิดใหม่ไปแสดงตัวต่อพระผู้เป็นเจ้าที่วัด โดยในพิธีจะต้องมีการบูชายัญนกเขาหรือนกพิราบด้วย  ซึ่งปรากฏว่าพระมารดามารีและโยเซฟซึ่งเป็นชาวยิวได้นำพระเยซูไปที่วัดในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ หรือหลังจากประสูติแล้ว ๔๐ วันนั้นเอง  โดยตามประวัติบอกว่าในวันดังกล่าวเป็นวันที่พระแม่มารีได้พบกับนักบุญ Simeon ซึ่งได้พยากรณ์ชะตาของพระเยซูว่าจะเป็นแสงสว่างแก่โลก...นอกจากนี้ ยังถือว่าวันนี้เป็นวัน "Purification de la Vierge" หรือวันไถ่บาปแก่พระแม่มารี(ตามบทความก็ตั้งข้อสงสัยไว้ว่า ตามประวัติพระเจ้าได้ช่วยให้พระแม่มารีพ้นจากบาปพื้นฐาน( le peché originel) แล้วเหตุใดถึงต้องมาไถ่บาปในครั้งนี้อีก)
                ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าวัน Chandeleur เป็นวันที่มีความสัมพันธ์กับแสงสว่าง...ตามโบสถ์ก็จะมีการนำเทียนไขปลุกเสก(chandelles bénies)มาจุดแทนคบไฟ โดยความเชื่อที่ว่าแสงสว่างจากเทียนปลุกเสกจะขับไล่ความชั่วร้าย พายุ ความตาย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ในฤดูเพาะปลูกที่จะมาถึงในไม่ ช้านี้.....และคริสต์ศาสนิกชนได้มีนำเทียนไขมาจุดในบ้านเรือนเพื่อคุ้มครอง ตามความเชื่อดังกล่าว พิธีการจุดเทียนไขได้ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็เพื่อระลึกถึงพระเยซูซึ่งเป็น แสงสว่างแห่งโลกมนุษย์...
            ...หลายคนอาจอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังงงว่า เอ....แล้วไปกินเครปกันได้ยังไง...มันเกี่ยวกันตรงไหน... มันมีที่มาครับ....
            คำว่า "Chandeleur" มาจากคำภาษาละตินว่า "Candela" ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง...หรือที่ภาษาฝรั่งเศษใช้คำว่า "la chandelle" ที่แปลว่าเทียนขี้ผึ้ง หรือแสงสว่างนั่นเอง..... ซึ่งก็เป็นการแทนคำว่า "Festa candelarum" เป็น "fête des chandelles"
            ในสมัยโรมันได้มีการฉลองวันดังกล่าวกันในวันที่ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยบูชาต่อเทพเจ้า Lupercus หรือเทพหมาป่า ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ โดยถือว่าเป็นวันแห่งการเจริญพันธุ์ เพราะเป็นวันเริ่มแห่งฤดูผสมพันธุ์นก(วันแห่งความรักของนก : la saison des amours chez les oiseaux)
            ในส่วนของชาว Celtes(คนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมัน (บางตำราบอกว่ากลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนเกาะไอร์แลนด์))ซึ่งกลัวต่อ ความมืดและความหนาวเย็นก็จัดให้มีพิธีหลังจากวันสิ้นสุดฤดูหนาวในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ของทุกปีเพื่อฉลองความเจริญสมบูรณ์เหมือนกัน
            อย่างไรก็ดีเมื่อศาสนาคริสต์มีบทบาทในยุโรปมากขึ้นก็ได้มีการนำวัน Chandeleur มาแทนที่วันบูชาเทพเจ้า Lupercus ของโรมัน โดยอ้างว่าเป็นการแทนที่พิธีของพวกนอกศาสนาโดยศาสนพิธี โดยเลือกเอาวันเฉลิมฉลองหลังจากที่พระเยซูประสูติแล้ว ๔๐ วัน...(วันที่ไปทำพิธีที่วัดตามที่กล่าวแล้วข้างต้น)
            ส่วนประเพณีการกินเครปในวันนี้ก็เกิดจากสันตปาปา Gélase ที่ ๑เป็นคนริเริ่มขึ้นในคริสตศตวรรษที่ ๕นำเครปมาเลี้ยงฉลองแก่ผู้แสวงบุญที่กรุงโรมนั่นเอง ทั้งนี้เพราะ รูปร่างและสี ของเครปเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นหลังจากคืนสุดท้ายของหน้าหนาว...และนอก จากนี้แป้งที่ใช้ทำเครปก็ทำมาจากแป้งสาลีที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นที่ดี...

พิธีการทำเครป
            ใครว่าฝรั่งไม่งมงาย....มาถึงตรงนี้อาจต้องลองคิดดูอีกรอบ...เพราะ ในวัน Chandeleur นี้ ฝรั่งเขาจะทำเครปกินกัน โดยในการทำจะใช้กะทะทำเครปแบบโบราณไม่ใช่ใช้เตาแบบที่เห็นกันตามร้านหรือที่สยามบ้านเรา....
            เหตุที่ต้องใช้กะทะก็เพราะว่าตอนทำเครปจะต้องกำเงินเหรียญไว้ในมือแล้วโยนกลับด้านเครป...ถ้าไม่หล่นก็จะทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ เจริญเฟื่องฟูไปตลอดปี หรือมีความสุขสมหวังไปจนถึงวัน Chandeleur ในครั้งหน้า....
            นอกจากนี้ ฝรั่งยังมีความเชื่อที่ว่าให้โยนเครปแผ่นแรกที่ทำเข้าไปในตู้จะทำให้อุดมสมบูรณ์ และไม่มีเชื้อรา....อันนี้ใครจะไปลองก็ไม่ห้ามนะ แต่ไม่รับรองผล...

L'Epiphanie

วัน L'Epiphanie หรือ La fete des rois
วันนี้ ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงวันที่นักปราชญ์ 3 คน เดินทางติดตามดวงดาวนำทาง มาจนถึงคอกสัตว์ ณ เมืองเบ็ธเลเฮม ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของพระกุมารเยซู และได้มอบของขวัญ 3 อย่างให้ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ ให้แก่พระกุมารที่นอนอยู่ในรางหญ้า
(ของแต่ละชิ้นมีความหมายต่างๆ คือ กำยานหมายถึง การเป็นพระเจ้า  ทองคำ หมายถึง การเป็นกษัตริย์   และมดยอบหมายถึง การเป็นมนุษย์)



สำหรับในประเทศฝรั่งเศสแล้ว ในวันนี้คนฝรั่งเศสจะกินขนมที่ชื่อว่า La Galette des rois กัน และในขนม galette นี้ จะมีถั่ว หรือตัวตุ๊กตาเล็กๆอยู่ 1 ชิ้น ซึ่งเรียกว่า la fève
  


ถ้า ใครบังเอิญเจอเจ้า la fève นี้ คนๆนั้นก็จะได้สวมมงกุฏกระดาษสีทอง  เป็นพระราชา1วัน และมีสิทธิเลือกราชินี 1 องค์ รวมถึงจะโชคดีตลอดปี

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

"Nero burning rom"

"Nero burning rom"
โดยเฉพาะพวกที่ชอบไรท์หนังอ่ะ...ท่าจะรู้จักกันดีสิท่า...........^^"
 
 
เราพูดเรื่องตามหัวข้อดีกว่า........
"ที่มาของชื่อโปรแกรม Nero Burning Rom"
  
ที่มาของชื่อโปรแกรมนี้นั้น...มาจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน
นามว่า " Nero Claudius Caesar Drusus Germanicus"
(นามเต็มนะนั่น!)
สมเด็จพระจักรพรรดิเนโร หรือคนไทยรู้จักดี ในนาม เนโรจอมโหด
เป็นจักรพรรดิรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน แห่งจักรวรรดิโรมัน
พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 37 ที่เมืองแอนเธียม แห่งจักรวรรดิโรมัน
บิดาชื่อ งาเออุส โดมิทิอุส อาเฮโนบาร์บุส (Gnaeus Domitius Ahenobarbus)
มารดาชื่อ อกริบปิน่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงน้องสาวของจักรพรรดิคาลิกูลา (Caligula) จักรพรรดิรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน
เนโรมีชื่อเต็มตอนเกิดว่า ลูเซียส คลอดิอุส เนโร
. เมื่อค.ศ. 64 วันที่ 18 กรกฎาคม
ตอนกลางคืน เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายวัตถุไวไฟแห่งหนึ่งในกรุงโรม
ประกอบกับการที่ถนนกรุงโรมในช่วงนั้นแคบ
ทำให้ไฟจากร้านค้าวัตถุไวไฟนั้น ลุกลามไปยังบ้านเรือนหลังอื่นๆอย่างรวดเร็ว
และไม่นานนัก ไฟก็ไหม้ทั่วเมือง
นีโรรู้ข่าวก็รีบมาดูเปลวเพลิงที่หอคอยมิเซนุส (Maecenas)
แล้วก็บอกว่าเปลวเพลิงนั้นช่างสวยงาม นั่งมองไฟผลาญกรุงโรมอย่างสบายอารมณ์
พร้อมทั้งนำเครื่องดนตรีมาบรรเลงอย่างสุนทรีย์โดยไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ
กระแสความนิยมของเนโรตกต่ำลงทุกที
วันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 64 เปลวเพลิงที่ผลาญกรุงโรมมาตลอด 6 วัน 6 คืนดับลงในวันที่ 7
เผาบ้านเผาเรือนไป 132 หลัง ใน 4 หมู่บ้าน
เนโรสั่งให้เวนคืนที่ดินจำนวนหนึ่งมาสร้างพระราชวังทองคำ (Golden Palace)
ประกอบกับการที่เนโรไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ
และในอดีตพระองค์เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อกรุงโรมเสียใหม่ว่า กรุงเนโรโพลิส (Neropolis)
ประชาชนจึงปักใจเชื่อว่าเนโรเป็นผู้เผากรุงโรม
(นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเองก็บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เนโรจะเป็นผู้เผากรุงโรม)
เนโรจึงสุ่มสี่สุ่มห้าบอกไปว่าผู้ที่นับถือลัทธิคริสเตียน
(ศาสนาคริสต์เมื่อเกือบสองพันปีก่อนในจักรวรรดิโรมันเป็นเพียงแต่ลัทธิเล็กๆ มิใช่ศาสนาอันยิ่งใหญ่เหมือนปัจจุบัน)
เป็นกลุ่มคิดกบฎและพยายามเผาโรม
จึงเกิดเป็นการประหารหมู่ชาวคริสเตียนในโรมันด้วยข้อหาเผาโรม
ประหารโดยวิธีให้อดอาหารสัตว์ป่าในโคลอสเซียมจนหิวโซ
และนำชาวคริสเตียนไปปล่อยที่สนามโคลอสเซียม
และปล่อยสัตว์ป่าให้มารุมฉีกทึ้งชาวคริสเตียนต่อหน้าผู้ชม
นอกจากนี้ยังเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อมาซ่อมแซมบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ล่มจมของโรม
ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจในเนโร จนเกิดเป็นคำติดปากประชาชนชาวโรมว่า

"เนโรเผาโรม"
(Nero Burning Rome)

ซึ่งในปัจจุบัน วลีอายุกว่า 2,000 ปีนี้ ได้ถูกใช้เป็นชื่อโปรแกรมซอฟต์แวร์เขียนแผ่นซีดี/ดีวีดี

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

19 ข้อ ชวนคิดชวนทำ พิชิตความผิดหวัง


19 ข้อ ชวนคิดชวนทำ พิชิตความผิดหวัง


ใครบางคนเคยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า
 “เราไม่มีทางจะเรียนรู้ในการฝึกความกล้าหาญและความอดทนได้เลย หากมีแต่ความสมหวังและสุขสบายบนโลกใบนี้” 
ความ ผิดหวังทำให้ทุกข์ใจ และอาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมา แต่หากรู้จักเรียนรู้ที่จะเอาชนะความผิดหวังให้ได้ ก็เหมือนมีเกราะป้องกันภัยให้กับใจและกายของตัวเอง 
บางที 19 ข้อคิดสั้นๆต่อไปนี้ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันความผิดหวังให้คุณ 

      1. เพชรในตม :  อย่า มองว่า สิ่งไม่ดีหรือเรื่องไร้ สาระทุกอย่าง จะต้องเลวร้ายเสมอไป เพราะมีคำกล่าวในพุทธศาสนาว่า “ดอกบัวจะเบ่งบานอย่างงดงามที่สุด ต้องหยั่งรากลึกถึงโคลนตม” หรือที่มักพูดกันว่า ดอกบัวเกิดจากโคลนตม 
  
      2. ทำสิ่งที่ดีเยี่ยม :  จง ปล่อยให้ความผิดหวัง เป็นแรงผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ดีเยี่ยม ดังเช่นไข่มุกที่เกิดจากเม็ดทรายเล็กๆที่หลุดเข้าไปในเปลือกหอยนางรม ทำให้มันระคายเคือง จึงขับสารเคมีออกมาเคลือบจนกลายเป็นไข่มุกที่สวยสดงดงาม 
                    

      3. ทำงานหนัก :  ความสำเร็จเกิดจากพรสวรรค์ แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซนต์คือการทำงานหนัก 
                  
     4. วางรากฐานให้มั่นคง :  เปรียบ ดั่งการปลูกต้นไผ่ ซึ่งเป็นพืชที่โตเร็วที่สุดโนโลก ตอนเริ่มต้น มันอาจดูไม่สวยงาม เพราะไร้กิ่งก้าน แต่มันมีรากที่อยู่ลึก และแตกแขนงไปทั่ว พร้อมที่จะเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เราจึงควรวางรากฐานชีวิตให้มั่นคง แข็งแรง เพื่อการเติบโตอย่างถาวร เช่นกัน 
                   
      5. มีความเพียร :  จง มีความเพียรดั่งพระมหาชนก ที่เรือถูกพายุพัดล่มลงในมหาสมุทร ลูกเรือตายหมด เหลือเพียงพระมหาชนก ที่ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทร ด้วยความเพียร 7 วัน 7 คืน จนนางมณีเมขลาได้มาช่วยไว้ 
                  
      6. อย่าลัดขั้นตอน :  เฉก เช่นวงจรชีวิตของผีเสื้อ ขณะที่มันดิ้นรนโผล่ออกจากรูเล็กๆของรังไหม ปีกก็จะค่อยๆงอกออกจากลำตัว แต่หากคุณหวังดี อยากช่วยผีเสื้อให้ออกมาโดยเร็ว จึงช่วยเปิดรูด้วยการทำลายรังไหม คุณรู้มั้ยว่า การทำเช่นนั้นเป็นการลัดวงจรการเจริญเติบโตของผีเสื้อ ทำให้ปีกจะไม่งอกออกมา หรือแม้ว่างอก ก็จะไม่สมบูรณ์สวยงาม 
                      
      7. มีพลังเชื่อมั่น :  จง เข้าใจว่า ปัญหาและอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้น ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย ควรเผชิญหน้ากับมันและพูดว่า “ฉันจะมีพลังมากกว่าแก แกไม่อาจเอาชนะฉันได้หรอก” ยิ่งคุณมีพลังเหนือกว่ามากเท่าใดยิ่งดี 
                     
      8. มีรอยร้าวบ้าง :  รอย ร้าวหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ อาชีพการงาน หรือแผนการในชีวิต มิได้หมายความว่า มันจะทำเลนเนิร์ด โคเฮน ชาวแคนาดา อดีตพระสงฆ์ในพุทธศาสนาบอกว่า “รอยร้าวที่เกิดขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาได้” 
     



      9. เขียนไดอารี่ :  มี งานวิจัยทางจิตวิทยาระบุว่า การเขียนบันทึกระบายความรู้สึกเป็นทุกข์ เจ็บปวดและเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และเยียวยารักษาใจให้ดีขึ้นได้ 
      10. ถอยห่างสักก้าว :  บาง ครั้งคุณไม่อาจมองเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดจนกว่าจะถอยห่างออกไป เพราะยามอยู่ใกล้ สิ่งที่เห็นก็คือจุดต่างๆ หลายรูปร่างและสีสัน แต่เมื่อคุณถอยออกไป มองจากระยะไกล คุณจะเห็นจุดต่างๆเหล่านั้นเป็นภาพที่ปรากฏเด่นชัดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมีปัญหา ถอยมาสักเล็กน้อย แล้วพินิจมัน คุณจะเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่หนทางแก้ไขที่ถูกต้อง 
              

      11. ล้มแล้วต้องลุก :  สุภาษิต ญี่ปุ่นสอนว่า “ล้ม 7 ครั้ง ลุกขึ้นยืน 8 ครั้ง” โดยไม่ได้บอกให้นั่งลงเมื่อเหนื่อยล้า หรือล้มคลานยามหวาดกลัว ประเทศญี่ปุ่นจึงสามารถ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะประสบมหันตภัยสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011 
                   
      12. ผิดเป็นครู :  ไม่ มีใครสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า “ผิดเป็นครู” เพื่อให้นำบทเรียนในอดีตที่ผิดพลาดมาศึกษา ใคร่ครวญ ทบทวนเรื่องความผิดหวังและผิดพลาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก 

      13. เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง :  เมื่อเกิดปัญญา เห็นจุดบกพร่องแล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งให้ดีกว่าเก่า 
                    
      14. เดินหน้าไปเรื่อยๆ :  เมื่อคุณเดินมาถึงทางแยกบนถนน จงเดินต่อไป เพราะนั่นหมายความว่า คุณจะเลือกเดินไปทางไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ขอให้เดินต่อไป 
                   
      15. เมตตาต่อตัวเอง :  อย่าดุด่าว่ากล่าวตัวเอง แต่จงให้ความรักและเมตตาตัวเอง เหมือนที่คุณปลอบโยนผู้อื่นยามที่เขามีทุกข์ 
                  
      16. ไปให้ตรงเป้าหมาย :  บางครั้งความล้มเหลวผิดหวังที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนข้อสะกิดใจให้คุณฉุกคิดได้ว่า ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นอยู่หรือไม่ 
                    
      17. เวลาและวารี ไม่เคยคอยใคร :  บาง ช่วงชีวิตที่ประสบอุปสรรค คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข และก้าวผ่านความทุกข์ยากนั้นไปให้ได้ เพราะชีวิตไม่อาจหยุดอยู่กับที่ ดั่งเวลาและสายน้ำที่ไหลผ่านไปไม่เคยหยุดนิ่ง 
                    
      18. เชื่อมั่นในมหัศจรรย์ของชีวิต :  ทุก เช้าที่ตื่นนอน จงบอกตัวเองเสมอว่า วันนี้คุณจะคิดดี พูดดี ทำดี แล้วคุณจะได้เห็นความมหัศจรรย์เกิดขึ้น เพราะคุณได้ดึงพลังบวกเข้ามาในชีวิต ทำให้เกิดสติปัญญา พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เข้ามาในแต่ละวันให้ลุล่วงไปด้วยดี 
                     
      19. อย่าสิ้นหวัง :  มี เพียงสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหมดไปจากใจคน นั่นคือ ความหวัง ขอให้คุณหมั่นเติมพลังใจให้ตัวเองบ่อยๆ และพยายามมุ่งมั่นทำในสิ่งที่คุณต้องการให้สำเร็จ 
                       
 >>>>>   <<<<<