วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แม่น้ำสีแดง Rio Tinto แม่น้ำสีแปลก ที่ประเทศสเปน





แม่น้ำสีแดง Rio Tinto แม่น้ำที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน ต้นกำเนิดมาจากเทือกเขา Andalusia ตั้งแต่ครั้งอดีตกาล พื้นที่ในแถบนี้เป็นเหมือง ถูกใช้ในการสกัดแร่ทองแดง เงิน ทอง และแร่อื่นๆอีกมากมาย จึงเป็นสาเหตุให้แม่น้ำเป็นสีแดงเข้ม น้ำในแม่น้ำมีความเป็นกรดสูง และยังอุดมไปด้วยโลหะหนักจำพวกธาตุเหล็ก








วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Thai food

Thai food is internationally famous. Whether chilli-hot or comparatively blands, harmony is the guiding principle behind each dish. Thai cuisine is essentially a marriage of centuries-old Eastern and Western influences harmoniously combined into something uniquely Thai. The characteristics of Thai food
Introduction of Thai Food
depend on who cooks it, for whom it is cooked, for what occasion, and where it is cooked to suit all palates. Originally, Thai cooking reflected the characteristics of a waterborne lifestyle. Aquatic animals, plants and herbs were major ingredients. Large chunks of meat were eschewed. Subsequent influences introduced the use of sizeable chunks to Thai cooking.
With their Buddhist background, Thais shunned the use of large animals in big chunks. Big cuts of meat were shredded and laced with herbs and spices. Traditional Thai cooking methods were stewing and baking, or grilling. Chinese influences saw the introduction of frying, stir frying and deep-frying. Culinary influences from the 17th century onwards included Portuguese, Dutch, French and Japanese. Chillies were introduced to Thai cooking during the late 1600s by Portuguese missionaries who had acquired a taste for them while serving in South America.
Introduction of Thai Food
Thais were very adapt at 'Siamese-icing' foreign cooking methods, and substituting ingredients. The ghee used in Indian cooking was replaced by coconut oil, and coconut milk substituted for other daily products. Overpowering pure spices were toned down and enhanced by fresh herbs such as lemon grass and galanga. Eventually, fewer and less spices were used in Thai curries, while the use of fresh herbs increased. It is generally acknowledged that Thai curries burn intensely, but briefly, whereas other curries, with strong spices, burn for longer periods. Instead of serving dishes in courses, a Thai meal is served all at once, permitting dinners to enjoy complementary combinations of different tastes.
A proper Thai meal should consist of a soup, a curry dish with condiments, a dip with accompanying fish and vegetables. A spiced salad may replace the curry dish. The soup can also be spicy, but the curry should be replaced by non spiced items. There must be a harmony of tastes and textures within individual dishes and the entire meal.
Eating & Ordering Thai Food
Thai food is eaten with a fork and spoon. Even single dish meals such as fried rice with pork, or steamed rice topped with roasted duck, are served in bite-sized slices or chunks obviating the need for a knife. The spoon is used to convey food to the mouth. Ideally, eating Thai food is a communal affair involving two or more people, principally because the greater the number of diners the greater the number of dishes ordered. Generally speaking, two diners order three dishes in addition to their own individual plates of steamed rice,
Eating & Ordering Thai Food
three diners four dishes, and so on. Diners choose whatever they require from shared dishes and generally add it to their own rice. Soups are enjoyed concurrently with rice. Soups are enjoyed concurrently with other dishes, not independently. Spicy dishes, not independently. Spicy dishes are "balanced" by bland dishes to avoid discomfort.
The ideal Thai meal is a harmonious blend of the spicy, the subtle, the sweet and sour, and is meant to be equally satisfying to eye, nose and palate. A typical meal might include a clear soup (perhaps bitter melons stuffed with minced pork), a steamed dish (mussels in curry sauce), a fried dish (fish with ginger), a hot salad (beef slices on a bed of lettuce, onions, chillies, mint and lemon juice) and a variety of sauces into which food is dipped. This would be followed by sweet desserts and/or fresh fruits such as mangoes, durian, jackfruit, papaya, grapes or melon.

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10-อันดับสถานที่ท่องเที่ยวไทย-ยอดฮิต-รับลมหนาว



10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวไทย ยอดฮิต รับลมหนาว
10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวไทย ยอดฮิต รับลมหนาว
อันดับ ที่ 10

วนอุทยานทุ่งบัวตองดอยแม่คำอู
วนอุทยานทุ่งบัวตองดอยแม่คำอู
          
ธรรมชาติชื่อดังของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะทวีความงาม
อย่างยิ่งในช่วงปลายปีเช่นนี้ อันเป็นช่วงที่ทั้งภูเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยสี เ
หลืองอร่ามของดอกบัวตองที่เบ่ง บานสุดขีด สำหรับภูมิประเทศของ “วนอุทยานทุ่งดอกบัวตอง” 
นั้นประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนคล้ายคลื่นทะเล โดยมีป่า
ธรรมชาติและป่าสนปลูกขึ้นสลับกัน นอกจากทุ่งบัวตองแล้ว ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ 
ความหลากหลายของสัตว์ป่า รวมทั้งน้ำตกที่สวยงาม 
ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บรรดา นักท่องเที่ยวหลงรักวนอุทยานแห่งนี้
อันดับ ที่ 9
อุทยานแห่งชิต่ภูสอยดาว
อุทยานแห่งชิต่ภูสอยดาว 
         
        ช่วงนี้สำหรับ ที่นี้เป็นที่ที่เหมาะกับการมาเที่ยวชมความงามของทิวทัศน์
โดยรอบของอุทยาน เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่กล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์
อินทนนท์ออกดอก รวมถึงใบเมเปิ้ลแดงที่เปลี่ยนสี ทำให้ลานสนสาม
ใบภูสอยดาวซึ่งเป็นที่ราบบนภูสอยดาวงดงามตระการตา
นอกจากนี้ ความลดหลั่นสูงกลับซับซ้อน หุบเขา เนินเขาถือเป็นเสน่ห์
เฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้าที่มีเมฆหมอกปกคลุม สำหรับสถานที่เที่ยว
ที่น่าสนใจที่ขาเที่ยวธรรมชาติมึควรพลาด ได้แก่น้ำตกสอยดาว

อันดับ ที่ 8

อุทยานแห่งชาติเขาค้อ... 
อุทยานแห่งชาติเขาค้อ

                 ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองทะเลภูเขา” หรือ “ดินแดนสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย” เพราะมีความสวยงามของธรรมชาติและมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งมีความหลากหลาย
ทางชีวภาพอีกด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 
และทิวทัศน์ที่สวยงาม เช่น น้ำตก ถ้ำ เกาะ แก่ง หน้าผา จุดชมทิวทัศน์ 
โดยป่าไม้ของอุทยานแห่งชาติเขาค้อ มีทั้งธรรมชาติและป่าปลูก ซึ่งเป็น
ที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากนานาชนิด เช่น เสือไฟ, กระจง,
ค่าง, อีเห็น, ลิงลม, นางอาย, งูชนิดต่าง ๆ ชนิดสุดท้ายนี้คงไม่มีใครชอบ
สักเท่าไหร่นักเอาไปว่าทางใครทางมันก็แล้วกันนะ 
และรวมทั้งนกชนิดต่าง ๆ อีกกว่า 100 ชนิด เหมาะสำหรับคนที่
ชอบดูนกชนิดแปลก ๆ ที่หาพบได้ยากนะ           
อันดับ ที่ 7
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
            ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยงที่นอกจาก จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ใน
ฐานะเป็นสถานที่อยู่อาศัยของอดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
แล้วยังมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาควรค่าแก่การมาเยือน อาทิ
ลายหินแตก ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก
โดยรอยแตกนี้มีตั้งแต่ขนาดแคบตั้งแต่รากหญ้าชอนไชไปได้
จนถึงขนาดกว้างมากจนคนไม่สามารถกระโดดข้ามถึง
ส่วนความลึกของร่องหินแตกมักปกคลุมไปด้วยมอส, ไลเคนส์,
ตะไคร่, เฟิร์น, และกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ

อันดับ ที่ 6

อุทยานแห่งชาติภูเรือ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ

            ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจเหมือน กันสำหรับธรรมชาติในเมืองไทยเรา
ด้วยลักษณะเป็นภูเขาสูงใหญ่ ซึ่งบนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่
มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน ลักษณะเด่นของภูเรือคือมีส่วนหนึ่งเป็นผา
ชะโงกยื่นออกมาเหมือนหัวเรือสำเภาใหญ่ จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
ของอุทยานแห่งชาติภูเรือ ได้แก่ยอดภูเรือ
ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในอุทยาน ที่สามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองและแม่น้ำ
โขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย – ลาว
สำหรับบริเวณโดยรอบของยอดภูเรือนั้นเป็นลานหินที่มีทุ้งหญ้าขึ้นแซมสลับกับ
ป่าสน มีทั้งสนสองใบที่ขึ้นตามธรรมชาติ และสนสามใบที่เป็นสนที่ทางอุทยานเป็นผู้ปลูก           
อันดับ ที่ 5
ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

           เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาวที่กำลังมา
ถึงอยู่นี้ เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้เมืองหนาวกำลังแข่งกันออกดอกมาให้เราชมกันมากมายหลาย
สายพันธุ์ นอกจากสีส้นของดอกไม้ยังมีแม่คะนิ้งให้ชมอีก (ต้องไปดูตอนที่แสงแดดยังอ่อนอยู่จะสวยงามมาก)
และอีกจุดที่นักท่องเที่ยงห้ามพลาดไม่ได้ก็คือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ซึ่งภายในโครงการมีสิ่งที่น่าสนมากมาย เช่นแปลงปลูกไม้ดอกไม้ประดับกลางแจ้ง,
แปลงปลูกไม้ในร่ม, แปลงทดลองปลูกกุหลาบ, แปลงปลูกผักในร่ม , สวนท้อ, สวนบ๊วย,
ป่าซากุระ, ป่าเมเปิ้ล และพระตำหนักอ่างขาง สำหรับสาว ๆ ที่ชื่นชอบทั้งดอกไม้และ
ผลไม้เมืองเหนือ ห้ามพลาด

อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
อันดับ ที่ 4

อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง

            เป็นอุทยานแห่งชาติลักษณะเป็นเทือกเขา และภูเขาสูงสลับซับซ้อนสถานที่
เที่ยวยอดนิยมในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ได้แก่บริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม)
ที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลหมอกที่งดงามยิ่งใน ประเทศไทยสามารถ 
มองเห็นดอยเชียงดาวรวมทั้งรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกอันสวยงามในช่วง เ
ช้าตรู่ไดใน ช่วงปลายฤดูหนาวที่ดอกไม้กำลังบาน บริเวณดังกล่าวจะทวีความงดงามมากๆ
อันดับ ที่ 3
ภูชี้ฟ้า
ภูชี้ฟ้า

           อีกสักหนึ่งภูนะค่ะอย่าพึง เบื่อกับไปเสียก่อนละเป็นเทือกเขาที่มคนบอกกันว่า
ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้เก๋ ๆๆ สุด ๆเลยเป็น ลักษณะเฉพาะ
ของยอดภูชี้ฟ้าซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผามีปลายยอดแหลมชี้เข้าไปยัง ฝั้งประเทศ ลาวอันเป็น ชุ
ดชมทะเลหมอกในตอนเช้าที่สวยงามแล้วบริเวณไหล่เขาของ
ภูชี้ฟ้านั้นยังเป็น ทุ่ง หญ้าที่มีดอกไม้สวยงามนานาชนิดอีกด้วยสำหรับ
นักท่องเที่ยวท่อยากซึมวับ บรรยากาศ
เมืองเหนือแท้ ๆขอแนะนะให้ไปเที่ยวภูชี้ฟ้าในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนะเพราะชาวเขาที่นั่นจะ
แต่งตัวแบบม้งรวม
ทั้งมีการโยนลูกช่วงหรือลูกหินระหว่างหนุ่ม ๆสาว ๆ ก้นด้วยนะ

อันดับ ที่ 2


อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

              (ที่นี้นะยังไม่ได้ไปเลย ..)ที่นี้เป็นที่ยอดนิยมสำหรับนักท่อง เที่ยงขาลุยทั้งหลายนะค่ะ เอาเป็นว่า "สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้นะ" คำนี้สามารถใช้ได้กับขาเที่ยวขาลุยทั้งหลายเ
นื่องจากที่ภูกระดึงมีสภาพ ธรรมชาติที่ สมบูรณ์ประกอบ
ด้วยระบบนิเวศและภูมิประเทศที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า 
ป่าสนเขาป่าดงดิบ น้ำตก และหน้าผาชมทิวทัศน์อีกทั้งนักท่องเที่ยวที่หวังจะพิชิตป่า 
เขาท่ภูกระดึง ต้องใช้คำว่าอึดนะเพราะว่าจะต้องเดินและปีน
เขาเป็นระยะทางราว 9 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าเหนื่อยไม่น้อย
สำหรับสถานที่ที่แนะนำว่าไม่ควรพลาด ได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก 
น้ำตกขุนพองและน้ำตกเพ็ญที่ค้นพบใหม่
อันดับ ที่ 1
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
     อ่านแค่ชื่อก็ต้องนึกถึงคำว่า"สูงสุดแดนสยาม"สำหรับดอยอินทนนท์ที่ยอมรับก้คือเรื่อง
              ของความหนาวเย็นที่สุดยอด ๆ จริงๆ สำหรับฤดูหนาว
             และเสน่ห์สำคัญท่ทำให้นักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า
น่าจะเป็นเพราะความสวยงามทางธรรมชาติ
ตั้งแต่ทางขึ้นเลยรับรองเลยว่ามีธรรมชาติของป่าที่หลากหลายมาก
ทั้งป่าดิบป่าสนป่าเบญจพรรณรวมถึง สีสันของดอกไม้นานาพรรณ
     สัตว์ป่าหลากชนิดโดยเฉพาะนกพันธุ์หายาก ที่สำคัญในช่วงฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมดอย
เกือบทั้งวันและบางครั้งจะมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ตาม ต้นไม้ใบหญ้า


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

"ทรงพระเจริญ"กึกก้องทั่วผืนแผ่นดินไทย "ในหลวง"เสด็จฯออกมหาสมาคม


ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเวลา 10.30 น.  วันที่ 5 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จ ประทับรถไฟฟ้า ลงจากอาคารที่ชั้น 8  พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  และพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อทรงออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล    ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง  โดยตลอดเส้นทางเสด็จฯ เต็มไปด้วย พสกนิกร ซึ่งสวมเสื้อสีชมพู มารอเฝ้าฯ รับ  พร้อมโบกธงสะบัดไปมา บางรายก็ ชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ไว้เหนือหัว เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่าน ต่างก็เปล่งเสียง   "ทรงพระเจริญ" เพื่อถวายพระพรอย่างกึกก้อง ด้วยความปลาบปลื้มปิติที่ได้ชื่นชมพระบารมี หลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ด้วยความดีใจสุดๆ 

ทั้ง นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพักตร์ที่สดชื่น แจ่มใส และทรงโบกพระหัตถ์ พร้อมพระสรวลให้กับประชาชนตลอดเส้นทางเสด็จฯทั้งขาไปและขากลับ
















เรื่องของในหลวง(ที่คุณอาจไม่เคยรู้)





1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรง เคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า "แม่"
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัย พระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"
12.ทรง ฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุก ขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรง ได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้ง หนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก "การเล่น" สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวง ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรง พระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ "แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรง พระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง "เราสู้"
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์" และ "ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์") ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
องส่วนพระองค์
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่ ?
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด




    


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

9 เรื่องแปลกเมืองไทยที่ฝรั่งต้องอึ้ง!!!

9 เรื่องแปลกเมืองไทยที่ฝรั่งต้องอึ้ง!!!
































http://www.munzzz.com/data/content/86/data/bemortuz1689.jpg
1. ประเทศไทย…ทำไมมีสรรพนาม เรียกแทน ตัวเองและฝ่ายตรงข้ามมากมายหลายคำ ?

ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะมีแค่ I กับ You ถ้าเป็นภาษาจีน ก็มี หว่อกับ หนี่ แต่ภาษาไทยนี่มีเยอะมากกกก ตั้งแต่ ฉัน-เธอ , เรา-แก , ข้า-เอ็ง ,ผม-คุณ , เดี๊ยน-หล่อน และอีก สารพัด เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆถ้าคุยกับพ่อแม่อาจจะเรียกตัวเองว่า หนูถ้าคุยกับน้องสาวอาจจะเรียกตัวเองว่าฉัน แต่พอไปคุยกับเพื่อนอาจเรียกตัวเองว่าเรา เอ๊ะ นั่นน่ะสิ ทำไมคนไทยถึงมีสรรพนามเรียกแทนตัวเองและคนอื่นเยอะขนาดนี้นะ ? น่าสงสัยเหมือนกันนะ !
2. ประเทศไทย …. ทำไมเมืองหลวงชื่อยาวมาก ?

ชาว ต่างชาติมักรู้จักกรุงเทพฯ ในนาม Bangkok แต่ถ้าใครได้รู้ชื่อเมืองหลวงเต็มๆ ของกรุงเทพฯ รับรองว่าอึ้งทุกราย ก็ชื่อเมืองหลวง เต็มๆของกรุงเทพฯ เค้ามีชื่อว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตน โกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิตสักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ว่าแต่น้องๆ ท่องกันได้รึเปล่าล่ะ ?
3. ประเทศไทย …. ทำไมคนไทยนามสกุลยาวจัง ?

ในขณะที่ชาวต่างชาติเค้า นามสกุลสั้นๆ แค่ 2-3 พยางค์บางชาติก็แค่พยางค์เดียว แต่คนไทยส่วนมากนามสกุลย๊าวยาว บางคนยาวกว่า 8-9พยางค์ บางคนยาวเป็น 10 พยางค์ก็มี เวลากรอกเอกสารสำคัญๆเรียกว่าเขียนเกินหน้ากระดาษกันเลยทีเดียว
4. ประเทศไทย …. ทำไมคนไทยชอบ พิมพ์ 5555 ?

ก็เพราะว่าเลข 5 ในภาษาไทยออกเสียงว่า ‘ห้า’ หรือ พ้องไปเป็น‘ฮ่า’ ดังนั้นเวลาพิมพ์หรือแชทกัน แล้วรู้สึก ตลกหรือขำ ก็จะพิมพ์แทน
‘ฮ่าฮ่าฮ่า’ ว่า ’555′ บาง คนเผลอเอาไปพิมพ์แชทกับเพื่อน ต่างชาติรับรองว่า ฝรั่งงงทุกรายแน่ๆ 555 ไปๆ มาๆ เพื่อนต่างชาติของ เราดันติดเอาไปใช้คุยกับคนอื่นต่ออีกแน่ะ 555 อ้อแต่บางทีคนไทยด้วยกันเองก็มีงงบ้าง เช่น ค่ารถ เท่าไรอะ
55 จะขำทำไม เปล่า เฟ้ย หมายถึงค่ารถ 55 บาท
5. ประเทศไทย …. ทำไมอะไรๆ ก็ตีเป็นเลขได้ ?

อู้ ยยย อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยที่แปลกใจคนไทยด้วยกันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไม ทุกอย่างถึงสามารถตีเป็นเลขได้ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ (ต้นไม้ร้องไห้ มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา) สัตว์ (ควายแรกเกิดมี 2 หัว) ของกิน (แตงโมเผือก) และอะไรอีกสารพัดก็สามารถเอามาตีเป็นเลขได้ คนไทยนี่สุดยอดจริงๆ เลยนะเนี่ยอิอิ
6. ประเทศไทย …. ทำไมชื่อเล่นคนไทยถึงแปลกจัง ?

ก็ชื่อเล่นคนไทยมีทั้งชื่อสัตว์(แมว กวาง นก กระต่าย) ผลไม้(ส้มเปิ้ล มะปราง ชมพู่) ผัก(คะน้า แตงกวาต้นหอม ขิง) ขนม(วุ้น ปุยฝ้าย เค้กลูกกวาด) เครื่องประดับ (แก้ว แหวน สร้อย) เลข(หนึ่ง สอง สาม สี่)และอะไรอีกสารพัด เล่นเอาคนต่างชาติอึ้งว่าทำไมถึงตั้งชื่อกันอย่างนี้ มีเพื่อนคนนึงชื่อแตงกวาคุณเธอไปเรียนต่อที่เกาหลีเลยจัดแจงเปลี่ยนชื่อตัว เองเป็น ‘โออี’ (ภาษาเกาหลีแปลว่าแตงกวา) ตอนออกไปแนะนำตัวหน้าชั้นทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนขำกันยกใหญ่ว่าคนอะไรชื่อแตง กวา หารู้ไม่ว่าเมืองไทยชื่อแตงกวาออกจะน่ารัก ก็แหมมีใครเคยเจอชาวต่างชาติชื่อ cucumber rabbit necklace อะไรอย่างนี้มั้ยล่ะ?ไม่มี๊ไม่มีมีแต่คนไทยเท่านั้นแหละที่สามารถเอาสิ่งรอบ ตัวมาตั้งเป็นชื่อเล่นได้ !สุดยอดปะล่ะ !
7. ประเทศไทย …. ทำไม….ไหว้อะไรกันที่หน้า บ้าน ?

นั่นก็หมายถึงศาล พระภูมิเองล่ะค่ะ ฝรั่งบางคน (หรือแทบทุกคน) ได้เห็นแล้วต้องเป็นงงว่า ‘นี่คืออะไร บ้านนกเหรอ?’ แล้วทำไมต้องจุดธูปกับเอาของกินมาถวายบ้านนกด้วยล่ะ ? ดังนั้นก็ต้องอธิบายกันซะยืดยาวว่าจริงๆ แล้วนั่นคือศาลพระภูมิที่เชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของเจ้าที่ที่คอยคุ้ม ครอง แต่แหม พี่ฝรั่งบางคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่ทราบ ดันซื้อกลับประเทศไปซะหลายหลัง – -”อย่างนักบอลชื่อดังเดวิด เบคแฮม ก็เป็นอีกรายที่ซื้อศาลพระภูมิกลับประเทศไปตรึม
8. ประเทศไทย …. ทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉายในโรงหนัง ?

รับรองเถอะค่ะร้อยทั้งร้อยของชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้เข้าไปในโรงหนังของบ้านเรา ต้องสงสัยทุกรายว่าทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉาย
ยังไงก็อย่าลืมอธิบายให้เค้าฟังด้วยนะคะว่า ‘ต้องยืนตรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี’ (ไม่ว่าจะอยู่ในโรงหนังหรือไม่ก็ตาม)เพื่อเป็นการแสดงความเคารพถึงพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยนั่น เองค่ะ ….. เชื่อมั้ยคะว่าชาวต่างชาติบางคนรู้สึกขนลุกและประทับใจต่อเพลงสรรเสริญฯ มากบางคนมาเมืองไทยทีไร ต้องหาเวลาเข้าโรงหนัง ไม่ได้เข้าไปดูหนังหรอกนะคะแต่เข้าไปยืนตรงแล้วฟังเพลง
9. ประเทศไทย …. ทำไมคนไทยต้องติดรูปนี้ไว้บนฝาบ้าน ?

นั่นก็คือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเองค่ะซึ่งเป็น รูปที่คนไทยต้องมีกันทุกบ้านไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของประเทศไทยคนไทยบาง คน(โดยเฉพาะในเมืองนอก)ถึงกับพกพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดกระเป๋าสตางค์ พอฝรั่งเห็นเข้าก็แปลกใจว่า เอ๊ะ พกรูปใครมาน่ะ Do you know him personally (รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวเหรอ) ?เราไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวแต่ท่านคือพ่อของคนไทยทุกคนที่พวกเรา ทั้งรักและจงรักภักดีต่างหาก….

10 เรื่อง(น่าเศร้า)ที่ฝรั่งเข้าใจเมืองไทยผิด

ถ้าพูดถึงในระดับโลกแล้ว ประเทศไทยของเราเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงพอสมควร โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ^^ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ น้องๆ เชื่อมั้ยว่ายังมีชาวต่างชาติบางคนรู้จักชื่อประเทศไทยแต่กลับยังมีความเข้า ใจผิดๆ เกี่ยวกับประเทศของเราอยู่ ว่าแต่มีเรื่องอะไรบ้างนะที่ชาวต่างชาติเข้าใจเมืองไทยผิด ??? ขอบอกก่อนว่า ต้องทำใจก่อนอ่านด้วยล่ะ เพราะเลือดรักชาติอาจพุ่งพล่านได้ !!!
 

1. เข้าใจว่าประเทศไทยคือไต้หวัน  
อัน นี้เป็นอะไรที่ได้ยินบ่อยมากกกก อาจจะเพราะว่าออกเสียงคล้ายๆ กัน (ไทยๆ ไต้ๆ) เลยเกิดเป็นความเข้าใจผิด ว่าประเทศไทยคือไต้หวัน (น่าน้อยใจมาก)

A : Where are you from?
B : Thailand.
A : Wowww ! so can you speak chinese fluently?
B : ……
เจอประโยคสนทนาแบบนี้ B คงอึ้งไปเลย ไทยแลนด์นะจ๊ะไม่ใช่ไต้หวัน แล้ว A มันจะว้าวววทำไมเนี่ย …

2. เข้าใจว่าคนไทยยังขี่ช้างไปไหนมาไหนกันอยู่  
อย่าง ที่รู้ๆ ว่าช้างเป็นสัตว์ประจำบ้านเมืองของไทย ดังนั้นในพวกสารคดีต่างๆ มักจะนำเสนอถึงช้างบ่อยมากๆ ส่วนมากก็เป็นภาพควาญช้างตามต่างจังหวัด ดังนั้นเมื่อชาวต่างชาติได้ดูสารคดีพวกนั้น ก็จะเหมารวมว่าคนไทยยังใช้ช้างเป็นพาหนะในการไปไหนมาไหนกันอยู่ และนอกจากช้างแล้ว บางคนยังคิดว่าขี่ม้าขี่หมูอีก (ไปกันใหญ่ละนะเนี่ย) แต่พอมาถึงกรุงเทพฯ เห็นรถไฟฟ้า เห็นตึกสูงเสียดฟ้า ต่างก็อะเมซิ่งไทยแลนด์กันทุกราย หุหุ

3. เข้าใจว่าเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก
เพราะ เหล่าบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของเราต่างก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติ ตะวันตกมาก่อน เช่น ลาว เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส มาเลเซีย เคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แต่ประเทศไทยกลับไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเลย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้ทรงใช้พระปรีชาสามารถใน การหาวิธีให้ประเทศของเรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นค่ะ

4. เข้าใจว่าพัทยาและภูเก็ตคือทุกอย่างของประเทศไทย  
ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อว่าชาวต่างชาติบางคนไม่รู้จักกรุงเทพมหานคร แต่กลับรู้จักภูเก็ตและพัทยาเป็นอย่างดีเพราะเป็นที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่มี ชื่อเสียงมากๆ รวมถึงสถานที่เที่ยวกลางคืนที่ใครๆ ก็นิยมไป เห็นได้จากชาวต่างชาติบางคนนิยมนั่งเครื่องบินบินตรงไปยังภูเก็ตเลย หรือไม่ก็พอลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิปุ๊บ ก็บึ่งรถตรงไปพัทยาทันทีโดย ไม่แวะเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ เลย (พลาดของดีซะแล้วเธอ)


5. เข้าใจว่าคนไทยจนมากๆๆๆ  
ถ้า หากใครมีโอกาสได้เปิดดูพวกสารคดีวิถีชีวิตคนไทย จะเห็นได้เลยว่ามักจะนำเสนอชีวิตชาวบ้านในต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตกันค่อน ข้างลำบาก เช่น ข้ามเขาสามลูกไปหาบน้ำ พายเรือไปเก็บผักมาขาย ดังนั้นทำให้ชาวต่างชาติดูแล้วเหมารวมอีกเช่นเคยว่าคนไทยนี่จนมากๆ ซึ่งความเชื่อข้อนี้อาจจะไม่ถูกนักแต่ก็ไม่ผิดไปซะทีเดียว เพราะยังไงประเทศไทยก็มีคนจนมากกว่าคนรวยอยู่แล้วล่ะเนาะ

6. เข้าใจว่าคนไทยนิยมใช้ไสยศาสตร์
ความ เชื่อนี้ก็มาจากพวกสารคดีวิถีชีวิตไทยอีกแล้วค่ะ  เพราะเล่นนำเสนอแต่ภาพการ เข้าทรงเอย ผีปอบเอยรำผีฟ้าเอย  จนทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่าคนไทยนิยมเล่นของกัน ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมก็คือ บาง
ทีเค้าก็มองเรา เหมือนที่พวกเราบางคนมองประเทศเขมรว่าชอบเล่นของ อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ

7. เข้าใจว่าผู้หญิงสวยๆ เป็นกระเทยหรือแปลงเพศมาแล้ว 
เป็น ผลพวงมาจากการที่ชาวต่างชาติเหล่านั้นได้ชมพวกโชว์ทิฟฟานี่ อัลคาซ่า หรืออะไรทั้งหลายแหล่ค่ะ ซึ่งแต่ละนางที่ขึ้นมาโชว์นั้นก็สวยทั้งเนียนซะเหลือเกิน สวยซะจนผู้หญิงแท้ๆ อย่างเราๆ อยากไปเกิดใหม่ = =”
เลยกลายเป็นเข้าใจว่าผู้หญิงไทยสวยๆ คือหญิงไม่แท้ซะอย่างนั้น

8. เข้าใจว่าผู้หญิงไทยเป็นผู้หญิงอย่างว่าทุกคน
คำว่า ‘ผู้หญิงอย่างว่า’ ใน ที่นี้คงไม่ต้องอธิบายกันนะคะ = =” ซึ่งอันนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้จริงๆ เพราะในมุมมองชาวต่างชาติบางคน ถ้าพูดถึงประเทศไทยปุ๊บ ความคิดที่แล่นเข้ามาก็คือเรื่องผู้หญิงอย่างว่านั่นเอง เพราะมีผู้หญิงไทยบางคนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปทำอาชีพอย่างว่านั่นแหละ ค่ะ

9. เข้าใจว่าอาชีพผู้หญิงอย่างว่าเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายในเมืองไทย 
ยัง ไม่จบกันกับเรื่องผู้หญิงอย่างว่า อันนี้ก็ต้องยอมรับกันอีกจริงๆ ว่า ชาวต่างชาติ(ผู้ชาย) บางคนที่มาเมืองไทยถือว่า ถ้ามาเมืองไทย แล้วต้องลองไปเที่ยวอย่างว่า (สรุปว่าอย่างว่านี่มันคืออะไรเนี่ย 555) รวมถึงอาชีพผู้หญิงอย่างว่าก็สามารถหาได้ไม่ยาก ดังนั้นทำให้ชาวต่างชาติบางคนเข้าใจผิดคิดว่าอาชีพผู้หญิงอย่างว่าเป็นอาชีพ ที่ถูกกฏหมายนั่นเองค่ะ


10. 
เข้าใจว่าคนไทยชอบกินพวกของแปลก 
ได้แก่ รถด่วน ตั๊กแตนทอด ด้วง แมงดาทอด และอื่นๆ แถมยังเข้าใจว่าคนไทยชอบกินกันสดๆ อีกต่างหาก 555+ ซึ่งอันนี้ก็อาจจะคล้ายๆ ที่เรามองว่าคนเกาหลีกินหมานั่นเองค่ะ คือเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่กินกัน แต่ก็โดนเหมารวมอีกเช่นเคย

นั่น ก็คือ 10 เรื่องที่ชาวต่างชาติเข้าใจประเทศไทยผิดนั่นเอง ซึ่งเราคงจะไปห้ามความคิดเค้าไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าน้องๆ มีโอกาสได้พูดคุยกับคนเหล่านี้ ก็ อย่าลืมที่จะอธิบายให้เค้าเข้าใจถึงความเป็นจริงด้วยนะคะ เค้าจะได้เปลี่ยนมุมมองที่ผิดให้ดีขึ้น ^^

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รำลึก 224 ปี หลุยส์ ดาแกร์ (Louis Daguerre)


          วันนี้ใครเข้ากูเกิ้ล คงสะดุดตาเข้าให้กับดูเดิ้ลใหม่อีกครั้ง คราวนี้มาในรูปของภาพถ่ายครอบครัวแสนอบอุ่น ฟันธงได้เลยว่าถ้าไม่คลิกเข้าไปดู ก็คงไม่มีใครเดาออกว่าดูเดิ้ลนี้สร้างขึ้นในโอกาสไหนอย่างแน่นอน แถมหลายคนแม้แต่คลิกเข้าไปดูก็ยังคงงง ง้ง งง กันต่อ เพราะแม้จะปรากฎคำอธิบายดูเดิ้ลว่าครบรอบ 224 ปี Louis Daguerre แต่ก็ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครกันซะนี่ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเรื่องราวของเขามาฝากกันค่ะ
          หลุยส์ ดาแกร์ (Louis Daguerre) เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1787 เป็นศิลปินและนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ผู้คิดค้นวิธีถ่ายรูปแบบดาแกโรไทพ์ หรือก็คือการสร้างภาพและบันทึกลงบนแผ่นเงิน ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกคนสำคัญของวงการการถ่ายภาพเลยทีเดียว
          ในระยะแรก หลุยส์ ดาแกร์ เริ่มต้นชีวิตศิลปินด้วยการเรียนรู้งานด้านสถาปัตยกรรม ออกแบบโรงภาพยนตร์ และสร้างสรรค์ภาพวาดแบบพานอรามาร่วมกันกับ ปิแอร์ เพรโวส ศิลปินผู้สร้างสรรค์ภาพวาดพานอราม่าคนแรกของฝรั่งเศส ซึ่งตลอดเวลานั้น หลุยส์ ดาแกร์ ก็สนใจเรื่องการถ่ายภาพเป็นพิเศษ จึงได้เรียนรู้ศาสตร์การถ่ายภาพอย่างเอาจริงเอาจัง
          ต่อในปี ค.ศ. 1822 เมื่อ โจเซฟ เนียฟฟอร์ เนียพซ์ ได้สร้างสรรค์ภาพถ่ายแบบเฮลิโอกราฟเป็นคนแรกของโลก หลุยส์ ดาแกร์ ก็ได้ไปร่วมงานกับเนียพซ์ 3 ปีหลังจากนั้น  เพื่อค้นคว้าเรื่องการใช้วัตถุไวแสงประเภทซิลเวอร์ไอโอได หรือแผ่นเงินเคลือบไอโอดีนในการบันทึกภาพถ่าย แต่ยังไม่ทันที่การค้นคว้านี้จะประสบความสำเร็จ โจเซฟ เนียฟฟอร์ เนียพซ์ ก็เสียชีวิตลงเสียก่อน ทำให้ หลุยส์ ดาแกร์ ต้องทำการค้นคว้าต่อไปเพียงผู้เดียว จนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด และตั้งชื่อกระบวนการสร้างและบันทึกภาพด้วยการใช้ซิลเวอร์ไอโอไดนี้ว่า “ดาแกโรไทพ์” (Daguerreotype)
          และนับตั้งแต่นั้นมา หลังจากการถ่ายด้วยกระบวนการดาแกโรไทพ์ได้ถือกำเนิดขึ้น มันก็กลายเป็นสิ่งที่จุดประกายไอเดียนักพัฒนาในการพัฒนาภาพถ่ายแบบต่าง ๆ ขึ้นมาอีกมากมาย จนกระทั่งเป็นภาพถ่ายหลาย ๆ รูปแบบที่เราใช้กันทุกวันนี้ จึงนับว่า หลุยส์ ดาแกร์ เป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญในวงการภาพถ่ายมากเลยทีเดียว