วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทูน่า



ฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะร้านซูชิทั้งหลายก็ยังคงปั้นมากุโร่ขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสั

 แถมบางร้านยังมีโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ราคาสุดเวอร์แต่กินไม่อั้นซะด้วย ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ไม่น่าจะมีวี่แววอะไรที่บ่งบอกว่า "ทูน่า" กำลังจะหายไปจากโลกเลยสักนิด แต่จริงแล้วมันจะเป็นแบบที่เราเข้าใจหรือเปล่า?
 
นับ เป็นความพิเศษเหนือปลาชนิดใดในโลก เพราะปลาทูน่านั้นมีระบบหมุนเวียนเลือดแบบสัตว์เลือดอุ่น จึงทำให้ร่างกายของมันมีปริมาณฮีโมโกลบินสูงกว่าปลาชนิดอื่น จนทำให้เนื้อของมันกลายเป็นสีแดง และจากการที่พวกมันสามารถโลดแล่นไปได้ทั้งในเขตอาร์กติกและโลกเขตร้อน ทำให้ปลาทูน่านั้นต้องมีการสะสมไขมันเพื่อการเดินทาง และนั่นเป็นการนำภัยอันใหญ่หลวงมาสู่ตัวมันเอง
จากข้อมูลในนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ เดือนเมษายน ปี 2006 ได้รายงานปริมาณการบริโภคปลาทูน่าที่เพิ่มจากไม่ถึง 1 ล้านเมตริกตัน เป็น 6 ล้านเมตริกตัน ในช่วงปี 1950 - 2004 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดซูชิและอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกที่โหยหาการ บริโภคเนื้อแดงและเนื้อติดมันของปลาทูน่า ที่ไม่เพียงราคาแพงเท่านั้น 

แต่ยังมีเฉพาะในปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไปอีกด้วย
 
แม้จะยังมีปลาทูน่าให้จับ แต่ใช่ว่าจะสามารถจับได้ตลอดไป จากข้อมูลของ World Wildlife Fund (WWF) หรือ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ได้รายงานว่า หากยังมีการทำประมงปลาทูน่าอย่าเช่นทุกวันนี้ และไม่มีการออกระเบียบการทำประมงเพื่อคุ้มครองปลาทูน่าที่เข้มงวดกว่าที่ เป็นอยู่ ในอีก 50 ปีข้างหน้า โลกอาจต้องจารึกให้ปลาทูน่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่หายไปเพราะมนุษย์
 
ปัจจุบัน การทำประมงปลาทูน่าพุ่งเป้าไปที่ปลาทูน่าขนาดใหญ่ คือ ปลาทูน่าครีบเหลือง และปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ต่างเป็นปลาทูน่าขนาดใหญ่ที่เคยมีชุกชุมและพบได้ทั่วไปใน เกือบทุกมหาสมุทรทั่วโลก แต่หลังจากเทคโนโลยีด้านการประมงมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และมนุษย์สามารถก้าวเข้าไปในทะเลได้มากขึ้น ทำให้ปริมาณทูน่าทั้งสองสายพันธุ์มาถึงจุดวิกฤติและนำไปสู่การทำฟาร์มปลาทูน่า

ต่าง จากการทำฟาร์มปลาแซลมอน เพราะปลาทูน่าส่วนใหญ่ที่นำมาเลี้ยงในระบบฟาร์มนั้น ไม่ได้เกิดจากการเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ แต่เป็นการกวาดต้อนฝูงปลาทูน่าในมหาสมทุรเปิด เพื่อนำมาขุนจนอ้วนด้วยอาหารที่ทางฟาร์มเป็นผู้กำหนดเอง ซึ่งแปลว่าอาหารจากฟาร์มบางแห่งไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติของปลาทูน่า
 
จากข้อมูลของนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับ เดิมได้พูดถึงการทำฟาร์มปลาทูน่าในช่วง 10 ปีก่อนว่าอาหารส่วนใหญ่ที่ใช้ขุนปลาทูน่านั้นเป็นอาหารสดเช่น ปลาซาร์ดีนและหมึก แต่ในระยะหลังได้มีการปรับสูตรอาหารสำหรับขุนปลาขึ้นมาใหม่โดยในเนื้อปลาผสม แป้งข้าวโพดในอัตรา 1:1 สำหรับขุนปลาในระยะแรกเพื่อทำให้ปลาทูน่าอ้วนและสะสมไขมันปริมาณมากในระยะ เวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นเกรดที่สามารถเรียกราคาจากตลาดซูชิและอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

จาก ระบบการทำฟาร์ม อาจทำให้มนุษย์มีปลาทูน่าปริมาณมากไว้บริโภคได้ตลอดทั้งปีในราคาที่ถูกลง แต่นั่นไม่ได้หมายความปริมาณปลาในธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นการเร่งขบวนการสูญพันธุ์ของทูน่าให้เร็วยิ่งขึ้น 

เพราะ ปลาอ้วนๆ เหล่านี้มักถูกส่งไปขายก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์ เมื่อบวกกับปริมาณปลาในธรรมชาติที่เหลือน้อยเต็มที ทำให้โอกาสที่ประชากรทูน่าจะกลับมานั้นเป็นไปได้ยาก

10 ศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ออกเสียงผิดบ่อย




สังเกตว่าสิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือการสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจ

ถ้า เราไม่สามารถออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องได้แล้ว จะเอามารวมเป็นประโยคให้ถูกต้องได้ยังไงจริงไหม ในบทความชุด “10 ศัพท์ภาษาอังกฤษสุดฮิต คนไทยออกเสียงผิดบ่อย” วันนี้ รวบรวมคำศัพท์ที่เราออกเสียงผิดบ่อย ซึ่งจะมาจากประสบการณ์ตรงบ้าง หนังสือ หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง เรามาดูกันเลย

10 ศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่คนไทยออกเสียงผิดบ่อย

1. salmon (n.) แซ-เมิน

Species of edible marine fish that spawns in freshwater and has tender pinkish flesh

ปลาแซลมอน

สำหรับ คนที่รักการกินซูชิ ย่อมต้องเคยลิ้มลองปลาแซลมอนแน่นอน แต่ฝรั่งเค้ากลับอ่านคำนี้ว่า แซ-เมิน ซะงั้น ทำเอาผมเข้าใจผิดมาเป็นสิบๆปีเลยนะเนี่ย กับคนไทยสั่งปลาแซลมอนได้ไม่เป็นไร แต่กับฝรั่งถ้าตัดเสียง l ออกไปคงจะดีไม่น้อยนะครับ

2. comfortable (adj.) คั๊มฟ-ทะเบิล

Providing physical comfort; easy; relaxing

ความสะดวกสบาย

ตอน เป็นเด็กผมชอบอ่านคำนี้ว่า คอม-ฟ้อร์ท(เสียงสูง)-เทเบิล แต่เพิ่งมารู้ว่ามันผิด ผิดตรงการเน้นเสียงนี่แหละ เราจะไปเน้นที่พยางค์สองของคำ  ซึ่งจริงๆแล้วต้องออกเสียง ฟึ่ท สั้นๆหลังพยางค์แรก กลายเป็น คั๊มฟ-ทะเบิล แทน

3. effect (n., v.) อิ-เฟ็คท์

Something brought about by a cause or agent; a result

ผลกระทบ ผลลัพธ์

สำหรับ ศัพท์ภาษาอังกฤษตัวนี้เราจะอ่านผิดบ่อยมาก เพราะดันไปยึดติดกับคำว่า special effect สเปเชียล เอฟเฟ็คท์ พอเจอคำนี้เข้าไปก็อ่านว่า เอฟเฟ็คท์ กันถ้วนหน้าเชียว คำอ่านที่ถูกต้องจริงๆคือ อิ-เฟ็คท์ ครับ ออกเสียง f แค่ตัวเดียวพอ อ่านเร็ว เน้นพยางค์หลังด้วยนะ

4. etc. (abbr.) เอ็ท-เซเทอรา

And so on, and so forth, and the rest

และอื่นๆ

มอง แวบแรกอย่าไปคิดว่า etc. เป็นชื่อวงดนตรีเชียวนะครับ จริงๆแล้วมันย่อมาจากคำว่า et cetera เป็นภาษา Latin ที่หมายถึง และอื่นๆอีกมากมาย ที่เรามักเห็นตอนท้ายประโยคเหมือนกับ ฯลฯ ของภาษาไทยนั่นเอง

จากประสบการณ์พรีเซ้นท์งานภาษา อังกฤษในห้องเรียน เคยมีกลุ่มหนึ่งทำสไลด์แล้วใช้คำว่า etc. แต่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไง บางคนก็ข้ามไปเลย และมีคนนึงอ่านว่า อีทีซี เฉยเลย ที่ถูกคือ เอ็ท-เซเทอรา ต้องอ่านให้เร็วนิดนึงนะครับ ฝรั่งเค้าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

5. island (n.) ไอ-เลินด์

Piece of land completely surrounded by water; raised area or a platform set aside for some specific purpose

เกาะ

ผม ว่าคนส่วนมากต้องเคยอ่านคำนี้ผิดบ้างแหละ จะอ่านว่า ไอซ์-แลนด์ หรือ อิส-แลนด์ ก็ตามแต่ คำนี้เราจะไม่ออกเสียงตัว s นะครับ ให้อ่านว่า ไอ-เลินด์ ไปเลย ขืนอ่านผิดๆคนฟังจะเข้าใจว่าเราหมายถึงประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) ไปโน่น จะว่าไปแล้ว Iceland ก็ถือเป็นเกาะๆหนึ่ง เป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในยุโรปเลย

ว่าแต่ว่าแปลกดีนะครับที่ ประเทศ Iceland มีทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด ขณะที่ประเทศ Greenland กลับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งนะเนี่ย :)

greenland-iceland

6. jewelry (n.) จูวล์-รี่

Ornaments for personal adornment made of precious metals or set with gemstones

เครื่องเพชรพลอย

ตาม ร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆมักลงท้ายด้วยคำว่า จิวเวลรี่ โอเคครับเห็นคำนี้ปุ๊บเราทุกคนเข้าใจว่าเป็นร้านขายเครื่องเพชร แต่การอ่านออกเสียงนี่คนละเรื่องเลย ต้องพูดว่า จูวล์-รี่ ถึงจะถูก ไม่ต้องยืดยาวยึง 3 พยางค์แบบนั้น

7. leopard (n.) เล็พ-เพิร์ด

Panther, large member of the cat family having either tawny spotted fur or black fur

เสือดาว

ผม มีโอกาสไปฟังบรรยายเทคนิคการใช้งานภาษาอังกฤษโดยคุณ Christopher Wright และในวันนั้นที่จำได้ขึ้นใจเลยคือคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราชอบออกเสียงผิด บ่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ leopard ที่เราอ่านตรงๆเลยว่า ลีโอ-พ้าร์ด หารู้ไม่ว่าคำนี้ไม่ต้องออกเสียงตัว o อ่านสั้นๆง่ายๆว่า เล็พ-เพิร์ด  ก็พอ

8. chaos (n.) เค-อ็อส

Total lack of order, confusion, mess, disorder

ความสับสน วุ่นวาย

หลายๆ คนพอเห็นตัว ch ก็พากันออกเสียงว่า ชา-ออส กันถ้วนหน้า ผมเองสมัยยังเด็ก ชอบเล่นเกมส์ DotA ก็จะมีตัวละครหนึ่งชื่อว่า Chaos Knight เพื่อนๆก็เรียกว่า ชาออสไนท์ กันถ้วนหน้า เอาก็เอาวะ ชาออสไนท์ก็ได้ บางคนถึงกับอ่านว่า “เช้าส์” เลยทีเดียว แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่า เค-อ็อส ถึงจะถูกต้องนะ

9. sword (n.) ซอร์ด

Weapon consisting of a long straight or curved blade fixed to a hilt

ดาบ

มา อีกแล้วคำในตำนานสำหรับนักเล่นเกมส์ทั้งหลาย ใครเกิดทันเกมส์ Ragnarok บ้างเอ่ย คงคุ้นเคยกับอาชีพนักดาบ สะ-หวอด-แมน (swordsman) กันดีทุกคน แต่ถ้าจะอ่านให้ถูกจริงๆ คำจำพวก sword ให้ตัดเสียง w ออกไปได้เลยครับ อ่านเป็น ซอร์ด ง่ายขึ้นเยอะใช่มั้ยล่ะ

10. value (n., v.) แฟ-ลิ่ว

Prize, esteem, cherish; assess, estimate, appraise

คุณค่า ประเมิณค่า ให้ความสำคัญ

ขอ ปิดท้ายด้วยคำศัพท์ที่เสียงอ่านไม่เหมือนกับคำที่เห็นเอาซะเลย อย่าว่าแต่นักศึกษาเลยครับ แม้แต่อาจารย์ยังอ่านว่า แวลู่ ซึ่งก็โอเค ถ้าสื่อความหมายให้คนไทยด้วยกันเข้าใจได้ แต่สำหรับฝรั่งขืนอ่านแบบนี้มีงงแน่นอน ต้องอ่านว่า แฟ-ลิ่ว ออกจะกระดากปากไปบ้าง แรกๆผมเองก็ไม่ชิน แต่เพื่อความถูกต้องก็ต้องอดทน

โอริโอ้


โอริโอ้” คุกกี้ช็อกโกแลตที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในโลก ได้ฉลองอายุครบรอบ 100 ปีไปเมืื่อวันที่ 6 มีนาคมที่่ผ่านมา โดยโอริโอ้ได้ถือกำเนิดในปี 1912 ภายใต้การผลิตของบริษัท เนชันแนล บิสกิต คอมปานี หรือ”นาบิสโก” โดยได้จำหน่ายแซนวิชคุกกี้ที่ร้านค้าปลีก “S.C. Thuesen” ที่เมืองโฮโบเกน รัฐนิวเจอร์ซีเป็นที่แรก

โอริโอ ถูกผลิตผลิตออกมาเพื่อมาสู้กับบิสกิตที่มีลักษณะคล้ายกันจากประเทสอังกฤษ แล้วค่อย ๆ พัฒนาต่อมาจนโอรีโอกลายเป็นแซนวิชคุกกี้ที่ขายดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 โดยทำยอดขายทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ แต่เดิมคุ้กกี้ยี่ห้อนี้มีรูปร่างนูน โดยขายในราคา 25 เซ็นต์/ปอนด์ บรรจุในกระป๋องสังกะสีที่มีฝาเป็นแก้วให้มองเห็นของข้างในได้ และได้เปลี่ยนชื่อเรียกเรื่อยมาหลายชื่อ เช่น “โอริโอ แซนด์วิช” (Oreo Sandwich) ในปี 1921, “โอริโอ ครีม” (Oreo Creme Sandwich) ในปี 1948, “โอริโอ ช็อคโกแลต แซนด์วิช คุกกี้” (Oreo Chocolate Sandwich Cookies) ในปี 1974 และเปลี่ยนเป็น โอริโอ้ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าจะเปลี่ยนมาหลายชื่อ แต่โอริโอ้ยังคงใช้สโลแกนเดิมคือ “บิด ชิมครีม จุ่มนม” (twist, lick and dunk)
แม้ว่าโอริโอ้จะเป็นขนมจานโปรดของใครหลายคน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า โอริโอ้นั้นมีความลับซ่อนอยูู่อีกมากมาย อย่างน้อยก็คงเป็นความลับ 9 ข้อนี้ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. “โอริโอ” มีชื่อที่ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครสามารถยืนยันที่มาได้แน่ชัด บ้างก็เชื่อว่ามาจากคำว่า “Or” ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า”ทอง” หรือมาจากแพ็คเกจที่แต่เดิมส่วนใหญ่เป็นสีทอง บ้างก็คาดเดาไปไกลว่าเพี้ยนมาจากภาษากรีก “βουνό” ที่แปลว่า”ภูเขา” อาจเนื่องจากในช่วงทดลอง โอริโอจะมีรูปร่างขายภูเขาขนาดย่อม
2. ร้อยละ 71 ต่อ 29 คือสัดส่วนของเนื้อคุกกี้และครีม ของคุกกี้โอริโอ้สูตรดั้งเดิม

3. โอริโอได้รับอนุญาตให้เป็น “โคเชอร์” หรืออาหารที่สอดคล้องกับหลักศาสนาที่ชาวยิวสามารถรับประทานได้ เมื่อปี 1998 (โคเชอร์ ในภาษาฮีบรูว์ แปลว่า “สะอาด” หรือ “เหมาะสม” หรือ “เป็นที่ยอมรับ”) โดยจะมีเครื่องหมายดังกล่าวอยู่เหนือข้อมูลน้ำหนักของผลิตภัณฑ์
4. หนึ่งในส่วนผสมดั้งเดิมของครีมรสชาติเข้มข้นของโอริโอ้คือ Trans fat หรือที่เรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า Trans Fatty Acid หรือมีชื่อเล่นว่า “ไขมันหมู” ต่อมาจึงมีการยกเลิก หลังจากมีการค้นพบว่าการรับประทานกรดไขมันชนิดนี้เป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับคอเลสเตอร์รอลในเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด
5. หากนำโอริโอ้เท่าที่มีการผลิตขึ้นมามาวางรอบโลก จะสามารถวางได้ถึง 381 รอบ เมื่อนำขนมทุกชิ้นมาต่อกันในแนวเส้นศูนย์สูตร หรือหากวางในแนวตั้ง จะมีระยะทางเท่ากับการไป-กลับดวงจันทร์ได้ถึง 5 รอบ
6. ในปี 1912 โอริโอ้ได้ผลิตออกมา 2 ไส้ คือ เมอแรงมะนาว และ ครีม ก่อนดีไซน์ใหม่ของโอรีโอ้จะเกิดขึ้นในปี 1916 และได้หยุดผลิตไส้เมอแรงมะนาวที่ขายสู้ไส้ครีมไม่ได้ในช่วงปี 1920 การออกแบบใหม่เกิดขึ้นในปี 1952 โดยรวมยี่ห้อของนาบิสโก ไว้บนคุ้กกี้ด้วย ปัจจุบันโอรีโอ้ถูกผลิตออกมาในรูปแบบต่าง ๆ กว่า 40 ชนิด

7. โอริโอ้มีวางจำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่มียอดขายสูงสุดตามลำดับได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, เวเนซุเอลา, แคนาดา และอินโดนีเซีย ในบางประเทศเช่นจีน “คราฟท์ ฟู้ด” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของนาบิสโก ได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรเล็กน้อยเพื่อให้ถูกใจผู้บริโภค
8. มีการผลิตโอริโอ้รสชาติพิเศษ รุ่น “ลิมิเต็ด เอดิชัน” เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปี โดยใช้ชื่อว่า “เบิร์ธเดย์ เค้ก โอริโอ” ที่จะมีไส้ที่มีลักษณะคล้ายขนมเค้ก
9. 450,000 ล้านชิ้น คือจำนวนที่โอริโอ้ถูกวางจำหน่ายทั่วโลก นับตั้งแต่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1912 จนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กระดาษห่อของขวัญ นำมาปลูกผักสดๆได้

นวัตกรรมแห่งปี "กระดาษห่อของขวัญ" นำมาปลูกผักสดๆได้






ทับทิม


ศัพท์บางคำในภาษาไทยนั้น อาจมีความหมายได้หลายอย่าง และความหมายที่ต่างกันนั้นมักมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "ทับทิม" หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2416 ให้ความหมายไว้ว่า...
"พลอยแดง : เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งดอกแดง ลูกกลมๆ กินดี : อนึ่งเป็นชื่อพลอยที่เขาทำหัวแหวนสีแดงๆ นั้น"
ชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมาซื้อพลอยแดงน้ำดีจากประเทศไทยที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ทับทิมสยาม" นั่นเอง
เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยกับทับทิมที่เป็นพลอยสีแดงมานาน เมื่อมีต้นไม้ต่างประเทศชนิดหนึ่ง ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทย และต้นไม้ชนิดนั้นมีเมล็ดซึ่งหุ้มด้วยเนื้อใสสีแดง มีเหลี่ยมมุมคล้ายพลอยสีแดง คนไทยจึงเรียกชื่อต้นไม้ต่างประเทศชนิดนั้นว่า "ทับทิม" ไปด้วย เพราะเป็นลักษณะเด่นที่จำได้ง่าย
หัวนอนปลายเท้าของต้นทับทิม
ต้นทับทิมมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum linn. ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate, สเปนเรียก Granada, อินเดียเรียก Darim, ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ฯลฯ
สันนิษฐานว่า ทับทิมมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบทวีปเอเชียตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปตอนใต้ และคงนิยมปลูกกันมานานหลายพันปีแล้ว จึงแพร่กระจายออกไปมากมาย ทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รวมทั้งทวีปแอฟริกา
ทับทิมเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 6-10 ฟุต ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตก ออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน มีทับทิมอีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ทับทิมหนู (Punica granatum Var.nana Pere) สูงเต็มที่ไม่เกิน 4 ฟุต มีดอกสีแดงดกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ความเชื่อและตำนาน
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งปวงและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติส (Attis) ขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือเทพแอตติสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่เคารพพระคเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย
ชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)
ในญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยปกป้องรักษาเด็กๆ ให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆ ได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง
ประโยชน์ด้านต่างๆ ของทับทิม
เมล็ดทับทิมมีเนื้อหุ้มใสสีแดงเข้มเป็นประกายนั้น มองดูคล้ายพลอยแดงน้ำดีที่เจียระไนแล้ว สมกับที่มีผู้ยกย่องทับทิมว่าเป็น "อัญมณีแห่งผลไม้" นอกจากความงดงามแล้ว รสชาติของทับทิมยังดีเยี่ยมอีกด้วย น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ซึ่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดด้วย เนื่องจากทับทิมเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติด้านสมุนไพรที่เด่นมากชนิดหนึ่ง สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนหลายกลุ่มมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวอียิปต์ และชาวฟีนีเซี่ยน เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ใช้ทับทิมเป็นสมุนไพร ต่อเนื่องมาถึงกลุ่มชนอื่นๆ เช่น
ชาวอาหรับ ใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ใช้ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด ใช้เปลือกผลทับทิม (ผสมกานพลูและฝิ่น) รักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย
ชาวฮินดู ใช้น้ำคั้นจากผลทับทิม และดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ แก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมแก้ท้องเสีย ใช้บำรุงหัวใจ
ชาวไทย ทับทิมทั้งต้นหรือทับทิมทั้ง 5 ; ใช้เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด
เปลือก ราก และเปลือกต้น ; ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด, ไส้เดือน, เส้นด้าย และฝาดสมาน
ใบ ; สมานแผล แก้ท้องร่วง อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก ; ใช้ห้ามเลือด
เปลือกผล ; สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง (มีแทนนิน) ร้อยละ 22-25
เนื้อหุ้มเมล็ด ; แก้กระหายน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด
น่า สังเกตว่า ชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ และผลทับทิมในประเทศไทยได้รับความนิยมน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่าพันธุ์ทับทิมที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมิใช่พันธุ์ที่ให้ผล คุณภาพดีเยี่ยมสำหรับการบริโภคเป็นผลไม้
หากชาวไทยนำพันธุ์ทับทิมคุณภาพดีเข้ามาปลูก หรือปรับปรุงพันธุ์ทับทิมของเราให้ดีเท่าเทียมกับพันธุ์คุณภาพดีที่มีอยู่ใน โลก เชื่อว่าคนไทยนิยมปลูกและบริโภคทับทิมไม่น้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เป็นแน่

5 ประโยชน์จากหัวหอม


ประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
มี หลักฐานว่ามีสารประกอบกำมะถัน ที่พบในหัวหอมนั้น สามารถต่อต้านการจับตัวกันของลิ่มเลือด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากำมะถัน สามารถลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์พร้อมทั้งปรับปรุงการทำ งานของเยื่อหุ้มเซลล์ในเซลล์เม็ดเลือดแดงได้เป็นอย่างดี โดยรวมขยายไปถึงการป้องกันโรคหัวใจวาย
ประโยชน์ต่อกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
การ ศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าหัวหอมจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก รวมไปถึงหญิงวัยหมดประจำเดือน ที่ต้องประสบปัญหาการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก และอาจจะสามารถลดความเสี่ยงของกระดูกสะโพกหัก กำมะถันปริมาณสูงในหัวหอม อาจก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เพราะกำมะถันมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
ประโยชน์ในการต่อต้านการอักเสบ
พืช ผักตระกูลหัวหอม กระเทียม ถือเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการอักเสบได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน สารต้านอนุมูลอิสระในหอมช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของกรดไขมัน ในร่างกาย
ประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็ง
หัว หอมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ , มะเร็งกล่องเสียง และโรคมะเร็งรังไข่ แม้ว่าจะไม่ชื่นชอบในรสชาติ แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงแค่ทานในปริมาณน้อยหรืออาจทานไม่บ่อยนัก ก็สามารถได้รับประโยชน์ในเรื่องของการป้อนกันโรคมะเร็งได้อย่างเต็มที่ เหมือนกัน
ประโยชน์ด้านสุขภาพอื่น ๆ
หัว หอมมีศักยภาพในการปรับปรุงความสมดุลของน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกำมะถันและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่พบในหัวหอมจะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย บางการศึกษาพบว่าหากหัวหอมได้สัมผัสกับไอน้ำเป็นเวลา 10 นาทีจะมีผลต่อคุณค่าทางสารอาหาร ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการจัดเก็บและการนำมาปรุงอาหาร

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 โมงครึ่ง คือชั่วเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟ


ผู้คนส่วนมากจะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่?!

ผู้ คนส่วนมากจะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ หากแต่ที่จริงแล้วคาเฟอีนในกาแฟจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้าบริโภคเวลา 10.30 น.

เว็บไซต์เดลิเมล์ ได้ให้ข้อมูลจาก สตีเว่น มิลเลอร์ นักประสาทวิทยาจากUniformed Services University of the Health Sciences (USUHS)
ในรัฐแมรี่แลนด์ ระบุว่า การดื่มกาแฟจะได้ผลดีที่สุด เมื่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายต่ำ ในช่วง 09.30-11.30 น. ซึ่งคาเฟอีนในกาแฟจะเข้ากับฮอร์โมนดังกล่าวได้ดี ส่วนระดับของคอร์ติซอลจะสูงในช่วง08.00-09.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการตื่นนอน และจะค่อยๆลดลงใน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น

ดังนั้น หากตื่นนอนในช่วง 9โมงเช้า ทิ้งระยะให้คอร์ติซอลลดระดับลงราว 1 ชั่วโมง ช่วงเวลาการดื่มกาแฟ นั่นคือเวลา 10โมงครึ่งพอดี
นอก จากนี้ระดับคอร์ติซอลจะสูงสุดในเวลาอาหารกลางวัน และเวลา 17.30-18.30 น. หมายความว่า ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะดื่มกาแฟ ถ้าดื่มเข้าไปประสิทธิภาพของคาเฟอีนจะไม่ช่วยให้ตื่นตัวเท่าใดนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่ว่า บางทีเมื่อดื่มกาแฟตอนเช้าตรู่แล้ว จะรู้สึกว่าต้องการกาแฟอีก หรือต้องการเพิ่มความเข้มของกาแฟ

ใครที่อยากได้รับพลังจากคาเฟอีนแบบเต็มประสิทธิภาพ ก็สามารถทำตามการศึกษานี้ได้เลย

4 จอร้าย ทำลายสุขภาพตา


วิถีชีวิตของคนยุคใหม่นับวันต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นยุค Gen S (Generation of Screen)

ซึ่งเป็นยุคโลกดิจิตอลที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว โดยเฉพาะ 4 จอที่ว่าได้แก่ จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ นับวันเรายิ่งถูกเทคโนโลยีเหล่านี้ผลักดันให้ใช้สายตามากขึ้นและนานขึ้น โดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำร้ายสุขภาพตาแบบไม่รู้ตัว

ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพสายตาของคนไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2550 ระบุว่า คนไทยไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน มีสายตาผิดปกติ

สาเหตุหลักมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อเป็นเวลานาน
และยังพบว่าใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว จึงทำให้เกิดอาการเมื่อยตา ตาแห้ง เคืองตา แสบตา แพ้แสง ตาพร่า ปวดตา ปวดศีรษะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาสายตา เช่น การทำงานกลางแจ้งนานๆ การอ่านหนังสือในที่มีแสงน้อย การสูบบุหรี่ เป็นต้น
ดัง นั้น ในแต่ละวันเราจึงควรหยุดพักและละสายตาจากจอต่างๆ เป็นระยะๆ เพื่อผ่อนคลายสายตา นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาและถนอมดวงตานั่นก็คือ

สาร ต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งมีวิตามินเอ ซี อี เบต้า-แคโรทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูล “เบอร์รี่”
ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอนเซนเบอร์รี่ ฮัคเคิลเบอร์รี่ เป็นต้น ทั้งนี้มีผลการวิจัยพบว่า สารแอนโธไซยานิน ในบิลเบอร์รี่ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยส์ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สูง

ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย และยังช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าจากการคร่ำเคร่งใช้สายตา ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนของเลือดในดวงตา
ส่วนผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่นๆ ก็พบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แบล็คเคอร์แรนต์
ช่วยให้ตารับภาพในเวลากลางคืนได้ดี แครนเบอร์รี่ ช่วยบำรุงสุขภาพตา โช้คเบอร์รี่ ช่วยการไหลเวียนของเลือดในตาให้ดีขึ้น อาซาอิเบอร์รี่ ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตา สตรอเบอร์รี่ ช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งบริเวณจอประสาทตามีเซลล์ประสาทสำหรับการรับภาพอยู่มาก
ดัง นั้น การเลือกรับประทานผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ หรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น จึงเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตา แต่ต้องมีปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม และอย่ารอที่จะดูแลและถนอมสุขภาพดวงตาของคุณ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของดวงตาที่สดใสไปได้นานๆ

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้หรือไม่ว่าฟันแท้เริ่มขึ้นเมื่อไร



ระยะเวลาการขึ้นของฟันแท้




รู้หรือไม่ว่าฟันแท้เริ่มขึ้นเมื่อไร
ฟันแท้ขึ้นตอนกี่ขวบ น้า จำกันได้ไหมเอ่ย

ฟัน แท้ซี่แรกเริ่มขึ้นเมื่ออายุ 6 ปี ได้แก่ ฟันหน้าซี่กลางล่าง และฟันกรามซี่ที่ 1 บนและล่าง ฟันแท้ส่วนใหญ่จะขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนม ยกเว้นฟันกรามแท้ซี่แรก จะขึ้นต่อจากฟันกรามน้ำนมซี่ที่ 2 ฟันแท้มีทั้งหมด 32 ซี่ แบ่งเป็นฟันบน 16 ซี่ ฟันล่าง 16 ซี่

ฟันแท้ขึ้นแล้วควรทำอย่างไร


ถ้าฟันแท้ขึ้นแล้ว แต่ฟันน้ำนมยังไม่หลุด ดังรูปที่ 1 ควรพาเด็กไปพบ
ทันตแพทย์ เพื่อพิจารณาถอนฟันน้ำนม เพื่อไม่ให้กีดขวางการขึ้นของฟันแท้

เมื่อฟันกรามแท้ขึ้น ควรเคลือบหลุมร่องฟัน เพื่อป้องกันฟันผุ

เนื่องจาก
ด้านบดเคี้ยวของฟันกรามมีหลุมร่องมากมาย ทำความสะอาดยาก
โดยฟันกรามแท้จะขึ้นเมื่ออายุ 6 และ 12
ปี

ข้อดีๆ ของการดื่มกาแฟ



กาแฟ หากคุณเป็นคอกาแฟอยู่แล้ว วันนี้เราจะมาบอกข้อดีของการดื่มกาแฟว่าดีต่อสุขภาพ อย่างไรเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิง ตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

นอก จากนี้กาแฟยัง ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

สำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะ ต้องการแก้ง่วง นักวิจัยแนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.)ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

 ของดีในกาแฟ
นัก วิจัยของศูนย์วิจัยของศูนย์วิจัยใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีบริษัทขาย กาแฟรายใหญ่ของโลกพบว่าเมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้น กับชนิดของกาแฟ

 กาแฟพันธุ์โรบัสต้า

(Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต้มมาม่าโปะไอติมโคนวานิลลา

อัพเดท!!! เทรนด์การกินแบบใหม่ สไตล์เกาหลี  "ต้มมาม่าโปะไอติมโคนวานิลลา""


ไม่รู้ว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร แต่มนุษย์ผู้ผ่านการกินมาม่าแบบเดนตายมาหลากหลายนับไม่ถ้วนอย่างผม ย่อมอยากลิ้มลองเป็นธรรมดา

เรามาดูภารกิจนี้กันดีกว่า   ของที่ต้องเตรียมได้แก่
1. มาม่าที่ต้มสุกแล้ว (อันนี้เอารสมาตรฐาน หมูสับฉึกๆ)
2. ไอติมโคนวานิลลา
3. จาน ชาม ตะเกียบ และช้อนโต๊ะ (ไว้ซดโฮก)

มาม่าน่ะไม่มีปัญหา ที่บ้านมีอยู่แล้ว  แต่ปัญหาคือไอติมโคนวานิลลา  เวลาประมาณตีหนึ่งนี่ จะไปหาไอติมโคนวานิลลาจากไหน? (เลิกงานตอนนั้นครับ)  แน่นอน..เซเว่น!!...ไม่มีแบบโคนขาย...มีแต่แม็คฯ สาขาที่เปิด 24 ชั่วโมง  เผอิญมีแม็คฯ สาขานึง ที่อยู่บนเส้นทางที่ผมจะผ่านกลับบ้านพอดี เลยแวะเข้าไปถอยไอติม  ไปถึงก็บอกพนักงานว่า เอาไอติมโคนแพ็คกลับบ้าน 1 โคนครับ

พนักงานมองค้อน..."ไม่มีแพ็คให้ค่ะ"  ลืมไป..ยืนพินิจพิจารณา.. ถ้าไม่มีแพ็คแล้วให้ถือกลับบ้าน  ขี่มอเตอร์ไซด์ มือขวากำแฮนด์ มือซ้ายชูไอติมโคนไว้ ก็คงเหมือนเทพีเสรีภาพเคลื่อนที่ได้ ดูไม่น่าจะเข้ากับท้องที่เท่าไหร่ ใครเห็นผมบนถนนอาจจะตกใจ ประสบอุบัติเหตุได้

จากร้านแม็คฯ ไปถึงบ้านน่าจะประมาณสิบนาที ไอติมก็คงจะหกย้อยตามทางเป็นลายแทงสมบัติ มดจากร้านแม็คฯ ก็คงเดินตามผมมาถึงบ้านได้จากการสะกดรอยไอติม

คือ เข้าใจว่า ถ้าเป็นเทรนด์ที่เกาหลีจริง เกาหลีเขาคงอากาศเย็น คนถือไอติมกลับบ้านไปใส่มาม่าได้สบายๆ เพราะไอติมคงยังแข็งแรงดีอยู่
แต่กับไทยแลนด์แดนสวรรค์ ที่อากาศแสนจะดี๊ดีนั้นไซร้ ไอติมคงมิวายกลายเป็นของเหลวเสียก่อนถึงรังเป็นแน่แท้

ถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนสูตรนิดหน่อย  "ช็อคโกแลตซันเดย์ก็ได้ครับกลับถึงบ้าน รีบเอาไอติมแช่เย็น ต้มน้ำร้อนทันที  เพราะฉะนั้น "ต้มมาม่าโปะไอติมโคนวานิลลา"  จึงต้องเปลี่ยนเป็น "ต้มมาม่าโปะไอติมวานิลลาท็อปปิ้งช็อคโกแลตซันเดย์" (ชื่อจะยาวไปไหน?)  คิดซะว่า "โคน" ก็เหมือน "เกี๊ยวทอด" ไปละกัน คือไม่มีเกี๊ยวทอดก็ไม่เป็นไร ได้เวลาลง



ณ จุดๆนี้ บอกได้เลยว่า ตอนแรกคาดการณ์ว่ามันจะต้องแย่แน่ๆ  แต่มันดันอร่อยครับ...เส้นมาม่าผสมผสาน ได้ลงตัวกับไอติมวานิลลาอย่างไม่น่าเชื่อ
เกิดอาการสับสนมึนงงในสมองเล็กน้อย ว่านี่คือของคาวหรือของหวาน  ความร้อนจากมาม่าแทบไม่เหลือ เพราะโดนความเย็นจากไอติมกลบ เลยจะอุ่นแค่บางจุดนิดๆ...โดยรวมทั้งชามแทบจะ เท่าอุณหภูมิห้องอยู่แล้ว จะติดแค่ว่า ถ้าไปโดนไอติมที่ยังเย็นอยู่ จะรู้สึกขัดๆไปบ้าง แต่ก็คิดซะว่ากินหมี่เย็นไปละกันครับ.......จนกระทั่ง ไปกินโดนช็อคโกแลต  คดีพลิกทันทีครับ

เหลือแต่น้ำ ก็ซดน้ำมาม่ารสไอติมต่อ น้ำซุปแห่งผงชูรสและไอติมวานิลลาที่เป็นเพียงอดีต ยังพอไปด้วยกันได้ ไม่ไหวที่จะเคลียร์ เพราะผงชูรสกับช็อคโกแลต เป็นอะไรที่ไปด้วยกันไม่ได้  กินแล้วอาจจะเกิดอาการสำรอกเมทัลได้ทันที

สรุป
- อร่อยกว่าที่คิด
- ถ้ามาม่าเดือดปานโป่งเดือด ใส่ไอติมลงไป น่าจะอุ่นๆ อยู่บ้าง
- อย่าเอาท็อปปิ้งช็อคโกแลตใส่... เด็ดขาด!!

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

เด็กไต้หวัน 10 ขวบ พูดได้ถึง 10 ภาษา


โซเนีย หยาง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก gmgrd.co.uk

          เว็บไซต์ เดอะซันของอังกฤษ รายงานว่า เด็กหญิงสุดอัจฉริยะคนนี้ คือ โซเนีย หยาง เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ชาวไต้หวันสัญชาติอังกฤษ ที่ทำเอาคนทั่วโลกต่างทึ่งไปตาม ๆ กัน เมื่อเธอสามารถสื่อสารภาษาต่าง ๆ ได้มากถึง 10 ภาษา

          โดย โซเนีย หยาง เป็นชาวไต้หวันที่ย้ายมาอยู่ในเมืองสต๊อคพอร์ตของอังกฤษ ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษา ซึ่งในตอนนั้น โซเนีย หยาง ในวัยเพียง 5-6 ขวบ สามารถพูดได้ถึง 4 ภาษาเข้าไปแล้ว ทั้งภาษาไต้หวันซึ่งเป็นภาษาแม่ ภาษาญี่ปุ่น จีน และอังกฤษ ในระดับที่เรียกว่าใช้การได้ดีเหมือนเป็นภาษาแม่เลยทีเดียว และหลังจากที่เธอย้ายมาอาศัยในประเทศอังกฤษแล้ว โซเนีย หยาง ก็ได้ศึกษาภาษาอื่น ๆ ต่อเรื่อยมา และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ โซเนีย หยาง ในวัย 10 ขวบ สามารถพูดได้เพิ่มขึ้นอีก 6 ภาษา ได้แก่ ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และล่าสุดคือภาษาคาซัคและภาษาลูกันดา (ภาษาของอุกันดา)  แถมยังใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย

          โซเนีย หยาง เปิดเผยเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาลูกันดาว่า "ภาษา ลูกันดานั้นค่อนข้างง่ายสำหรับหนู หนูคิดว่าหนูสามารถเรียนรู้ได้ง่ายกว่าคนอังกฤษค่ะ เพราะว่ามันมีหลายคำที่คล้ายคลึงกับภาษาไต้หวันมาก เรียกว่าเป็นภาษาต่างประเทศที่ง่ายที่สุดตั้งแต่หนูเรียนรู้มาเลย แต่ถ้าถามว่าภาษาไหนที่ชอบที่สุด หนูคงต้องบอกว่าเป็นภาษาอังกฤษค่ะ เพราะเป็นภาษาสากล ถ้าเราพูดได้ คนทุกคนทั่วโลกก็จะเข้าใจเราได้ค่ะ"

          ส่วนทางด้านนายฮีทเธอร์ เบอร์เน็ตต์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกรีนแบงก์ที่ โซเนีย หยาง ได้ศึกษาอยู่ ได้เปิดเผยว่า "โซเนียเป็นเด็กที่ฉลาดมาก แถมยังขยันสุด ๆ เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ และนั่นทำให้เธอกลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียน และโด่งดังไปทั่วโลกอย่างนี้"

           ทั้ง นี้ โซเนีย หยาง ยังเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางภาษา และมาวินเป็นอันดับหนึ่งมานักต่อนักแล้ว แถมเธอยังฮุบตำแหน่งสุดยอดเยาวชนที่พูดได้หลายภาษาแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียง เหนือของอังกฤษมาครองอีกด้วย

10 เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดหนัง “สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก”

steve-jobs-movie
อีกไม่กี่วันภาพยนตร์เรื่อง JOBS หรือในชื่อภาษาไทยว่า “สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก” ก็จะเข้าฉายในไทยวันที่ 12 กันยายนนี้แล้ว หนังเรื่องนี้นอกจากจะเป็นหนังที่หลายคนเฝ้ารอคอยแลัว ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย
วันนี้เราจะขอนำ 10 เหตุผลที่ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้มาให้ได้รับชมกัน
1. JOBS เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องแรกของสตีฟ จ็อบส์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2011 โดยว่ากันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างแรงบรรดาลใจ ให้เราได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของสตีฟ จ็อบส์
2. หนังถ่ายทำในสถานที่จริง โดยเฉพาะในโรงรถ บ้านของสตีฟ จ็อบส์ในวัยหนุ่ม ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่สำคัญในหนังแล้ว เรายังได้เห็นสถานที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของบริษัทแอปเปิลในปัจจุบันอีกด้วย
3. เป็นหนังเรื่องแรกของซุปเปอร์สตาร์ Ashton Kutcher ที่เคยรับบทวัยรุ่นเฮฮาในหนังเรื่องก่อนๆ มาพลิกบทบาทรับบทดราม่าเข้มข้น และต้องแสดงถึงความซับซ้อนหลายบุคลิกของสตีฟ จ็อบส์ นอกจากนี้ Kutcher เองก็ยังมีหน้าตาที่คล้ายกับจ็อบส์ในวัยหนุ่มมาก อย่างกับคนๆ เดียวกันเลย
steve-jobs-house-garage

steve-jobs-movie-release-date
4. ได้รู้ต้นกำเนิดของแอปเปิล บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกปัจจุบัน ว่ากว่าจะมีวันนี้บริษัทได้ฝ่าฝันและสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาบ้าง
5. หนังพาเราเข้าถึงความเป็นสตีฟ จ็อบส์ บุคคลที่ทั้งโลกยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ในขณะเดียวกันจ็อบส์ก็มีด้านมืดที่ย่ำแย่ และเคยเป็นบทเรียนให้กับตัวเขาเอง เราได้เรียนรู้ว่าจ็อบส์เคยผิดพลาดอะไรในอดีต จนมาเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลของโลกในปัจจุบัน
6. ได้รู้ที่มาของชื่อบริษัทแอปเปิล ว่ามีที่มาอย่างไร ทำไมต้องชื่อแอปเปิล ทำไมไม่ใช้ชื่ออื่น
7. เนื้อเรื่องในหนังจะเน้นชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ในช่วงปี 1971 ถึงปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล, ถูกไล่ออก, และกลับมากอบกู้บริษัทใหม่อีกครั้ง
27585_35828_644_436
jobs-movie-woz
8. ในฉาก West Coast Computer Faire ที่แอปเปิลไปเปิดบูทขาย Apple II ซึ่งเป็นฉากใหญ่และฉากสำคัญ ทีมงานได้เชิญ Daniel Kottke ตัวจริง ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เข้ามาช่วยดูแลการถ่ายทำและเข้าฉากเป็นแขกรับเชิญพิเศษ เพื่อความสมจริงกับเหตุการณ์นั้นมากที่สุดอีกด้วย
9. เพื่อให้สมบทบาทมากที่สุด Ashton Kutcher ได้พยายามเลียนแบบการพูดการเดินของสตีฟ จ็อบส์ รวมไปถึงการทานแต่ผลไม้ด้วย จนเมื่อไม่กี่วันก่อนถ่ายทำจริง เขาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว
10. Nolan Bushnell ผู้ก่อตั้งบริษัท Atari ตัวจริงร่วมเข้าฉากในหนัง ซีนเปิดตัวโฆษณาในปี 1984 ของแอปเปิลด้วย
พบกับภาพยนตร์ “สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก” ได้ทุกโรงภาพยนตร์ 12 กันยายนนี้
jobs-movie Jobs-movie-screenshot-7b
Ashton-Kutcher-Ron-Eldard-and-Josh-Gad-in-Jobs-2013-Movie-Image

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

แนะนำ 5 เทคนิคดีๆ ในการฝึก ‘อ่านภาษาอังกฤษ’ ให้เก่งขั้นเทพ…!!

หลายคนอยากจะฝึกฝนภาษาอังกฤษโดยเริ่มจากการอ่าน เลยเริ่มไปซื้อหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษมาอ่าน แต่ก็เจอปัญหาว่าอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักที และทำให้ท้อถอย หมดกำลังใจ จนล้มเลิกไปเลยก็มี
วันนี้เราเลยอยากจะแนะนำเทคนิคดีๆในการฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ให้สามารถอ่านเข้าใจ อ่านรู้เรื่อง จนกระทั่งอ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษกันได้เลยล่ะ

reading-english3
1 เริ่มจากหนังสือง่ายๆ
สำหรับคนที่หัดใหม่ แม้แต่หนังสือเรียนของเด็ก นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ก็อาจจะยากจนเกินไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องอายเลยที่จะไปซื้อนิทานภาษาอังกฤษของเด็ก 3 ขวบมาอ่าน ลองนึกถึงตอนเราฝึกภาษาไทยใหม่ๆตอนเด็ก เราก็อ่านนิทานของเด็ก 3 ขวบมาแล้ว ซึ่งจะทำให้เข้าใจและจับรูปแบบประโยคง่ายขึ้น

reading-english5
2 อ่านมากกว่าคนอื่น
ยิ่งทำอะไรมาก เราก็จะยิ่งเชี่ยวชาญมาก และถ้าคนอื่นอ่านแค่รอบเดียวรู้เรื่อง เราก็อาจจะต้องอ่านตั้งแต่ 2 รอบ 3 รอบ หรือกระทั่ง 4 รอบให้เข้าใจทั้งหมด แต่ก็อย่าเพิ่งท้อถอย แนะนำว่าให้พกหนังสือติดตัวตลอดเวลา และหาโอกาสอ่านบ่อยๆ อ่านในทุกๆที่ เพราะคนเราเวลาว่างที่อยู่เฉยๆวันนึงมีเยอะพอสมควร

reading-english
3 ใช้เทคนิคอ่านแบบ Skimming
คือการอ่านรอบแรกแบบผ่านๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าพูดถึงอะไร และเนื้อเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไร จากนั้นรอบที่ 2 ก็เริ่มจับใจความสำคัญ จดโน้ต เน้นศัพท์ที่ไม่เข้าใจ หาคำศัพท์ที่มีความหมายหลัก จะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น

reading-english4
4 อย่าใช้ดิคชันนารีบ่อยๆ
แม้การเปิดดิคชันนารี จะช่วยให้เราเข้าใจความหมายของแต่ละคำ แต่การอ่านไปเปิดไปเกือบทุกคำ มันจะทำให้เราไม่รู้จักการอ่านจับใจความโดยข้ามศัพท์ที่ไม่รู้เรื่องไป เชื่อรึปล่าวว่าฝรั่งหลายคนก็ไม่เข้าใจทุกคำศัพท์ แต่ก็อ่านข้ามโดยอาศัยคำอื่นๆมาช่วยแปลความหมาย และค่อยมาเปิดหาความหมายคำที่ไม่รู้จริงๆในตอนท้าย

reading-english2
5 สู้ให้สุด และห้ามท้อ
เรื่องนี้สำคัญที่สุด หลายคนอาจจะท้อเพียงเพราะเจอคนรอบข้างบอกว่า อ่านหนังสือภาษาอังกฤษทำไม อ่านไปก็ไม่เก่งขึ้น หรือเห็นบางคนมาหัดอ่านทีหลัง แล้วไปได้เร็วกว่า เลยเกิดอาการน้อยใจ ขอให้ตั้งเป้าหมายไปที่ตัวเราคนเดียว ดูว่าเราพัฒนาขึ้นจากเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อนหรือไม่ ตั้งเป้าระยะยาวไว้เป็นปีๆ แล้วพยายามทำตามเป้าช้าๆโดยตั้งใจ

สมาร์ทโฟน


1.สมาร์ทโฟนทำให้คุณเสียสมาธิ
นัก วิจัยจากฟินแลนด์พบว่า คนเราเริ่มติดที่จะนั่งเช็กข่าว ข้อความ อีเมล หรือข้อมูลในโซเชียล เน็ตเวิร์กต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือถี่ขึ้น ทั้งที่ยิ่งเช็กถี่มากเท่าไร โอกาสที่จะได้เจอกับข้อมูลหรือข้อความใหม่ๆ ก็ลดลงไปด้วย

ทางแก้ : นายแพทย์อันต์ติ โอลาสเวอร์ต้า ผู้วิจัยแนะว่า เราควรกำหนดเวลาการเช็กมือถือของเราให้เป็นกิจจะลักษณะ เช่นเช็กทุกครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อจะได้มีเวลาโฟกัสกับงานหรือการเรียนมากขึ้น

2.สมาร์ทโฟนทำให้คุณป่วยได้
การ กดๆ เคาะๆ หรือลากนิ้วไปมาบนทัชสกรีน ย่อมทำให้หน้าจอเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคไม่ต่างอะไรกับคีย์บอร์ดของ คอมพิวเตอร์ งานวิจัยชิ้นหนึ่งในวารสารจุลชีววิทยาประยุกต์ระบุว่า เมื่อนำผิวหน้าของจอสมาร์ทโฟนมาตรวจสอบ พบว่า เชื้อไวรัสที่อยู่บนหน้าจอทัชสกรีนจะติดนิ้วมือของผู้ใช้มาด้วยถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเผลอเอามือไปจับอวัยวะที่ค่อนข้างบอบบาง เช่นบนใบหน้า ก็อาจติดเชื้อหรือป่วยได้ง่ายขึ้น

ทางแก้ : หากเราติดฟิล์มกันรอยบนหน้าจอแล้วล่ะก็ ควรจะหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวอยู่เป็นระยะๆ แถมฟิลลิปส์ยังแนะนำแบบเอาฮาด้วยว่า ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจต้องจิ้มข้อความไปด้วย ร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย (เช่น อกหัก) เพื่อจะได้ไม่เผลอยกมือขึ้นมาขยี้หรือปาดน้ำตาตอนที่ยังมีเชื้อโรคติดนิ้ว อยู่นั่นเอง

3.สมาร์ทโฟนทำให้เจ็บตา
ทีม วิจัยจากวิทยาลัยจักษุแพทย์ซูนี่สเตท รายงานว่า ไม่ว่าจะเป็นการถือจ่อๆ ใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นภาพในจอได้ชัดยิ่งขึ้น หรือการเพ่งดูตัวหนังสือตัวเล็กๆ ในจอย่อมทำให้ผู้ดูมีอาการล้าที่ดวงตา จนนำไปสู่อาการปวดหัว ปวดตา หรือมองเห็นภาพเบลอๆได้

ทางแก้ : เพิ่มขนาดการแสดงผลตัวอักษรทางหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงพยายามรักษาระยะระหว่างดวงตากับสมาร์ทโฟนให้อยู่ที่อย่างน้อย 16 นิ้ว หรือถ้าเราติดอ่านหนังสือ่ด้วยสมาร์ทโฟน เมื่ออ่านไปได้สักระยะก็ควรพักสายตาด้วยการหลับตา หรือมองต้นไม้ใบหญ้าเพื่อความรื่นรมย์ อย่างน้อยให้ได้ 20 วินาทีก็ยังดี

4.สมาร์ทโฟนทำให้คุณเครียด
โทรศัพท์ เปิดโอกาสให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับโลกออนไลน์ได้ทุกวันทุกเวลา จึงเกิดความคาดหวังได้ว่าอีกฝ่ายหรือใครก็ตามจะพยายามสื่อสารกับคุณอย่างไม่ เหน็ดเหนื่อยบ้าง เรื่องนี้ทางมหาวิทยาลัยวอร์เชสเตอร์เคยวิจัยไว้ว่า นานไปความรู้สึกยิ่งสะสมยิ่งทวีคูณจนเริ่มกลายเป็นความหมกมุ่น เวลาสัญญาณความเคลื่อนไหวใดๆ เป็นต้องคิดล่วงหน้าไปแล้วว่ามีข้อความหรืออีเมลใหม่หาตนเอง แม้เอาเข้าจริงๆ จะไม่ใช่ก็ตาม

ทางแก้ : เริ่มต้นด้วยการปิดสมาร์ทโฟนของคุณสัก 1 ชั่วโมงทุกวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 2 ชั่วโมง และพยายามอย่าลักไก่ด้วยการนับเอาช่วงพักผ่อนนอนหลับรวมเข้าไปด้วยเป็นอัน ขาด

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

5 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนออกกำลังกาย




 หลาย ๆ คนมักจะกินตามใจปาก เพราะคิดว่าร่างกายจะเผาผลาญอาหารทั้งหมดด้วยการออกกำลังกายภายในครั้งเดียว แต่จริง ๆ แล้วหากคุณอยากจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงนั้น ก็ควรควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กับการออกกำลังกายด้วย เพราะหากคุณรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง อาหารเหล่านั้นก็จะให้โทษมากกว่าให้คุณประโยชน์กับร่างกาย ง้นเรามาดูกันดีกว่าว่ามีอาหารประเภทใดบ้างที่ไม่ควรรับประทานก่อนออกกำลัง กาย
1. อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง


เพราะ น้ำตาลที่ผสมอยู่ในของหวานหรือขนมหวานต่าง ๆ ทำให้อาหารเหล่านี้มีสารคาร์โบไฮเดรตสูง และเมื่อร่างกายของคุณรับคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ๆ ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง เกิดอาการหน้ามืดตาลายในระหว่างออกกำลังกายหรืออาจสูญเสียการควบคุมร่างกาย ก็ได้ ทางที่ดีหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนี้ไว้ดีกว่า
2. อาหารฟาสต์ฟู้ด

การ ไปออกกำลังกายแค่ 1-2 ชั่วโมง ไม่สามารถเผาผลาญไขมันที่คุณได้รับจากแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย อาหารสุดโปรดของคุณได้หรอก เพราะในอาหารเหล่านั้นมีปริมาณไขมันสูงมาก ซึ่งกว่าร่างกายของคุณจะย่อยไขมันได้ก็ใช้เวลาตั้ง 4 ชั่วโมง เป็นช่วงที่กระเพาะอาหารของคุณทำงานหนักมาก จึงทำให้ร่างกายต้องดึงเลือดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ส่งไปยังกระเพาะอาหารเพื่อย่อยไขมัน ก็เลยทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาไม่ค่อยอยากจะขยับแขนยับขาออกกำลังมากสักเท่า ไหร่นั่นเอง

3. ช่วงท้องว่าง

ปกติ ร่างกายจะดึงพลังงานที่ได้จากอาหารมาใช้ แต่เมื่อท้องว่างร่างกายของคุณก็จะดึงพลังงานสำรองหรือดึงไกลโคเจนมาใช้แทน ซึ่งหากระดับไกลโคเจนลดลง ก็จะทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายขึ้น ดังนั้นก่อนออกกำลังกายก็ควรทานอาหารรองท้องสักหน่อย เช่น ผลไม้สักชิ้นสองชิ้น กล้วยสักใบ หรือโยเกิร์ตสักถ้วย เอาไว้เพิ่มพลังงานสำหรับออกกำลังกายหน่อยก็ดี

4. เครื่องดื่มให้พลังงาน

เพราะ เครื่องดื่มประเภทนี้มีส่วนผสมคาเฟอีน (รวมทั้งมีปริมาณน้ำตาลมาก) ซึ่งคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้นอนไม่หลับ ส่งผลทำให้ร่างกายของคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วคุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย รวมทั้งรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา

5. ไข่ไก่ดิบ

บาง คนคิดว่าการรับประทานไข่ไก่ดิบจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ แต่จริง ๆ แล้วการรับประทานไข่ไก่ดิบนั้น นอกจากจะไม่ได้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของคุณแล้ว ยังอาจทำให้คุณท้องเสียได้ง่าย ๆ อีกด้วย ดังนั้นคุณก็เปลี่ยนมารับประทานไข่ไก่ต้มสุกจะดีกว่า
เห็น ไหมครับว่านอกจากการออกกำลังกายแล้ว การเลือกรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถ้ารับประทานอาหารที่มีคุณค่าก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ แต่หากคุณทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ก็จะทำให้คุณอ่อนเพลีย และส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณด้วย นอกจากนี้ควรทานก่อนเริ่มออกกำลังกายประมาณ 45 นาที เพื่อสะสมพลังงานเอาไว้ก่อนเลย และจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดยามต้องออกแรงอีกด้วย

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เว็บไซต์ต่างชาติเปิดเผย 5 สาเหตุ ว่าทำไมระดับภาษาอังกฤษคนไทยรั้งท้ายในอาเซียน

เว็บไซต์ TastyThailand ออกมาเปิดเผยบทความน่าสนใจ โดยตั้งหัวข้อว่า ทำไมภาษาอังกฤษของไทยถึงแย่อันดับท้ายๆในอาเซียน เพราะระบบการศึกษางั้นหรือ? และออกมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงเป็นเพราะสาเหตุนั้น
เราลองมาอ่านดูและพิจารณาว่าเป็นจริงแค่ไหนที่ระบบการศึกษาไทย ทำให้เด็กไทยไม่เก่งอังกฤษสักที….

english-language-thai-school-education
- ระบบการศึกษาไทยเน้นท่องจำ
ระบบการศึกษาไทยสอนให้เด็กท่องจำจากที่ครูสอน แกรมมาร์และคำศัพท์ถูกเขียนบนกระดานดำ ให้เด็กอ่านและจำ ซึ่งไม่มีการวิเคราะห์พูดคุย หรือตั้งคำถามคำตอบเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ตอนเรียน

english-language-thai-school-education2
- ไม่มีการสอนคิดแบบวิเคราะห์
การเรียนการสอนของไทยนั้น สอนให้รับรู้ ไม่ต้องคิดและไม่ต้องถามว่าสิ่งที่สอนนั้นถูกต้องจริงหรือ ซึ่งคนไทยต้องหัดคิดวิเคราะห์เพื่อแยกแยะโครงสร้างซับซ้อนของภาษา แต่พวกเขาทำไม่ได้ รวมถึงการขาดความสามารถด้านนี้ ทำให้คนไทยไม่กล้าพูดอังกฤษเข้าไปอีก

english-language-thai-school-education3- ครูไทยด้อยคุณภาพ
ข้อนี้อาจจะกระทบครูหลายคน ครูไทยไม่ใช่บุคลากรที่ยอดเยี่ยมมากทางด้านภาษาอังกฤษ แถมยังเติบโตมาพร้อมกับการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยได้มาตรฐาน รวมถึงตัวครูเองก็ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมนั่นเอง

english-language-thai-school-education4
- ครูต่างชาติไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อครูไทยด้อยคุณภาพ หลายๆโรงเรียนมีแนวคิดจ้างครูต่างชาติ แต่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงมาก ทำให้บางครั้งก็ได้ครูไม่มีมาตรฐาน เช่น จบปริญญาแต่ไม่ได้เรียนด้านการสอน ไม่มีวุฒิปริญญา หรือที่ร้ายสุดคือใช้วุฒิปริญญาปลอมมาสมัครเป็นครู

english-language-thai-school-education5
- กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการไทย แม้จะมีการเปลี่ยนนโยบายมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ช่วยพัฒนาการศึกษาไทยได้ คงต้องรอให้ระบบมาตรฐานกระทรวงและครูไทยสูงขึ้น อย่างเช่นจ่ายเงินเดือนครูมากขึ้น ดึงดูดคนมีความสามารถมาทำงานเป็นครูให้ได้

 

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผลสำรวจเผย 10 อันดับภาษา เรียนแล้วมีโอกาสได้งานมากที่สุดในอังกฤษ

ในยุคนี้ ว่ากันว่าการเรียนรู้แค่ 2 ภาษา คือภาษาไทยของเรา และภาษาอังกฤษ อาจจะไม่เพียงพอต่อการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะหลังการเปิดประชาคมอาเซียน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาที่ 3 เอาไว้อีกด้วยเพื่ออนาคตของเราเอง
คราวนี้เรามีผลสำรวจน่าสนใจจากทางอังกฤษ ว่าผู้จัดการบริษัทต่างๆแนะนำให้เรียนภาษาอะไร มาจัดเป็น 10 อันดับภาษาที่มีโอกาสได้งานทำมากที่สุดในอังกฤษ ลองมาชมกันเลยนะครับ….

best-language-for-getting-job
10. Portuguese
เนื่องจากการเจริญเติบโตของอเมริกา โดยเฉพาะบราซิล ที่จะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ตามด้วยโอลิมปิค 2016 จึงเป็นโอกาสอันดีที่เศรษฐกิจจะขยายตัว การจ้างงานและโอกาสทำงานของคนพูดโปรตุกีสได้ก็ย่อมมีมากขึ้น

best-language-for-getting-job2
9. Japanese
ในเมืองไทยก็มีคนญี่ปุ่นมาอยู่อาศัยมาก รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนอีกนับไม่ถ้วน การเรียนภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นโอกาสอันดีให้เราได้มีงานทำ ทั้งในไทยและต่างประเทศ

best-language-for-getting-job3
8. Russian
จากผลสำรวจล่าสุด พบว่ารัสเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจที่เป็นเป้าหมายหลักของทางอังกฤษ มีการเจริญเติบโตของแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศ ที่นำเข้าสินค้าจากต่างชาติมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

best-language-for-getting-job4
7. Cantonese (ภาษาจีนกวางตุ้ง)
มีคนพูดภาษาจีนกลางเป็นภาษาแม่มากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก แถมยังเป็นภาษาราชการของทางฮ่องกง ซึ่งน่าลงทุนและมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากในเอเชีย การเรียนรู้ภาษาจีนจึงช่วยได้เป็นอย่างยิ่ง

best-language-for-getting-job5
6. Arabic
แหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก หนึ่งในนั้นคือตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศกาตาร์ที่เศรษฐีต่างขนเงินไปลงทุนในต่างประเทศอย่างมหาศาล การได้เรียนรู้ภาษานี้เหมือนกับการเปิดโลกธุรกิจให้กว้างขึ้นนั่นเอง

best-language-for-getting-job65. Polish
เหล่าผู้จัดการในอังกฤษประมาณ 19% เห็นตรงกันว่าประเทศโปแลนด์คืออีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราการบริโภคเติบโต และสั่งนำเข้าสินค้าจากอังกฤษสูงมาก ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจจากประเทศนี้ก็ได้ และยังมีชาวต่างชาติที่รู้ภาษานี้ไม่มากนักด้วย

best-language-for-getting-job7
4. Mandarin (ภาษาจีนกลาง)
ภาษาที่มีคนพูดกันมากที่สุดในโลก และยังเป็นภาษาราชการของประเทศจีน ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้นๆของโลก เป็นที่คาดการณ์ว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกยุคใหม่ คงจะเป็นเรื่องดีที่เราจะหัดเรียนรู้ภาษานี้เอาไว้

best-language-for-getting-job8
3. Spanish
ภาษาสเปน นอกจากจะใช้ในประเทศสเปนแล้ว ยังถือเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งช่วงหลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยผลการสำรวจกว่า 37% เห็นตรงกันว่าภาษาสเปนนั้นจำเป็นต่อโลกธุรกิจในอนาคต

best-language-for-getting-job9
2. French
ถึงแม้ว่าช่วงหลังความนิยมของการเรียนภาษาฝรั่งเศสลดน้อยลงไป และมีการเน้นเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น แต่เหล่าผู้จัดการบริษัทกว่า 49% ยืนยันว่าภาษาฝรั่งเศสจำเป็นต่อบริษัทเป็นอย่างมาก

best-language-for-getting-job10
1. German
ประเทศเยอรมัน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป พร้อมกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจมีชื่อเสียงเป็นระดับโลก จึงไม่แปลกใจที่บริษัทอังกฤษล้วนอยากจะจ้างคนที่รู้ภาษาเยอรมันเพื่อทำงาน ด้วย เพราะสามารถหาผลประโยชน์จากประเทศใหญ่นี้ได้นั่นเอง