วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

+6 องศา สิ่งที่เราควรรู้ก่อนจะสายไป

 
1 องศาเซลเซียส
- ขั้วโลกเหนือไม่มีหิมะไปครึ่งปีทำให้เส้นทางเดินเรือ Northwest Passage สามารถใช้งานได้นานขึ้น
การขนส่งสินค้าจากยุโรปมายังเอเชียตะวันออกทำได้สะดวกขึ้น

- เกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผลผลิตลดลง ขาดแคลนอาหาร เกิดทะเลทรายใหม่ๆ
ในอดีต ฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกเพียงเล็กน้อย
ทำให้อากาศอบอุ่นขึ้น เกิดการสะสมชั้นดินบางๆ จนกลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นในดินลดลง หน้าดินก็จะแห้ง ถูกลมพัดหายไป กลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้ง
.
- ประเทศอังกฤษ สามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ได้ดีขึ้น ในขณะที่ผลผลิตองุ่นของฝรั่งเศสมีคุณภาพตกต่ำลง
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น มีผลให้แนวสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกองุ่นเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือมากขึ้น
ปัจจุบันนี้ อังกฤษมีไร่ไวน์มากกว่า 400 แห่ง และตอนนี้ก็เริ่มมีการทดลองปลูกต้นมะกอกในอังกฤษแล้วด้วย
.

+2 องศาเซลเซียส
- น้ำแข็งบนกรีนแลนด์ ซึ่งธรรมชาติใช้เวลาสะสมมานานกว่า 150,000 ปี หายไป ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น
 ปัจจุบัน สุนัขลากเลื่อนที่กรีนแลนด์ถูกทอดทิ้งให้อดตายจำนวนมาก เพราะว่าหิมะบางลงจนไม่มีงานให้มันทำ
- แมลงแปลกๆ จะเคลื่อนย้ายไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเคลื่อนตัวไปยังเขตทิศเหนือที่เคยหนาวเย็นมากขึ้น
แมลงที่มาใหม่สามารถสร้างความเสียหายแก่ต้นไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ในท้องถิ่นเดิม อย่างราบคาบ
- เมื่อสุนัขลากเลื่อนและหมีขั้วโลกเหลือเพียงตำนาน, ที่ราบทุนดราที่แสนกันดารก็จะกลายเป็นแหล่งป่าไม้ไหม่
.
- โลกสูญเสียแนวปะการังไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากปรากฏการณ์ฟอกขาว สัตว์น้ำลดความอุดมสมบูรณ์ลงมาก
มหาสมุทร ถือเป็นอ่างรับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นด่านแรกของกลไกซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ
โดยปรกติแล้วสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หลายชนิดจะดูดซับเอาคาร์บอนในน้ำทะเล เพื่อนำไปใช้สร้างกระดูกหรือเปลือก
แต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปจะทำให้น้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น และไปขัดขวางกระบวนการดูดคาร์บอน
.

+3 องศาเซลเซียส
- เป็นจุดที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าเราจะไม่สามารถย้อนกลับหรือหยุดยั้งกระบวนการโลกร้อนได้อีกต่อไป
- ขั้วโลกเหนือจะไม่มีน้ำแข็งในหน้าร้อนอีกต่อไป, ป่าฝนอะเมซอนจะแห้งไป, ยอดเขาแอลป์ไม่เหลือชั้นน้ำแข็ง
- พายุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นร้อยปีครั้ง กลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาและต้องปรับเพิ่มมาตรวัดความเร็วพายุใหม่
.
- El Nino กลายเป็นปรากฎการณ์ปรกติธรรมดา เหมือนย้อนกลับไปสู่โลกในยุคพาลีโอซีน (Paleocene)
- คลื่นความร้อนเกิดขี้นทั่วทวีปยุโรป จนหลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เหมือนกำลังอาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง
(เหมือนเหตุการณ์คลื่นความร้อนที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วยุโรปสูงถึง 3 หมื่นคน)
- กระบวนการสังเคราะห์แสงหยุดชะงักลง พืชกักออกซิเจนไว้และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน
.

+4 องศาเซลเซียส
- เมืองตามปากแม่น้ำจมทะเลถาวร, ธารน้ำแข็งบนภูเขาหิมาลัย ไม่มีเหลือ, แม่น้ำคงคา หายไปจากแผนที่โลก- ทิศเหนือของแคนาดาเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว, ชายหาดแถบสแกนดิเนเวีย กลายเป็นที่พักร้อนแห่งใหม่ของยุโรป
- ธารน้ำแข็งด้านทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้ ละลายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงทุ่งน้ำแข็งในบริเวณใจกลางทวีป
.

+5 องศาเซลเซียส
- หิมะและน้ำในชั้นหินที่คอยหล่อเลี้ยงเมืองใหญ่ เหือดแห้ง, เกิดพื้นที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยไม่ได้ในเขตอบอุ่นเดิม
- ระบบสังคมล่มสลาย, คนจนถูกทอดทิ้ง เกิดการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
- เกิดการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออย่างรุนแรงระหว่างชนชั้นเหมือนที่เห็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ไซไฟ
.

+6 องศาเซลเซียส
- มหาสมุทรกลายเป็นสุสานแห่งความตายไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้, ทะเลทรายบุกเข้ายึดพื้นที่ทั้งทวีป
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติกลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้. กรมอุตุฯ กลายเป็นหน่วยงานที่โลกลืม
- มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปและเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่ครอบครองโลกนี้แทนในระหว่างที่โลกกำลังปรับคืนสู่จุดสมดุล

ใช่!ที่ว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงคนเดียว
มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคล
แต่มันก็ต้องเริ่มที่ตัวเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น